แผนสำรองแผนเดียวอาจไม่พอ เพราะกระต่ายเจ้าเล่ห์ต้องมีสามโพรง

ครั้งก่อน ผมได้เล่าถึงข้อคิดจากการเสียกรุงครั้งที่ 2 ว่า กลยุทธ์ที่ดีต้องมีแผนสำรองนั้น อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์ แผนสำรองแผนเดียวอาจไม่พอ เรามาฟังเรื่อง กระต่ายเจ้าเล่ห์ต้องมีสามโพรง ในประวัติศาสตร์จีนกันดีกว่า

ในยุคจ้านกว๋อ ราวๆ 300 ปีก่อนคริสตศักราช ที่แคว้นฉี มีขุนนางคนสำคัญคนหนึ่ง ชื่อว่า เมิ่งฉางจวิน (孟嘗君) ท่านมีชื่อเสียงว่าเป็นคนใจกว้าง ชอบคบหาคนมีฝีมือ รับเลี้ยงดูแขกจำนวนมาก ว่ากันว่า แขกที่มาอาศัยอยู่บ้านท่านเมิ่งมีมากถึงกว่า 3,000 คน แขกเหล่านี้มีทุกชนชั้นจากทั่วทุกสารทิศ ครั้งหนึ่งมีอาคันตุกะเข้ามาขออยู่อาศัยกับท่านเมิ่ง ชื่อว่า เฝิงเซวียน แต่เมื่อเมิ่งฉางจวินถามว่า เขามีความสามารถอันใด เฝิงเซวียนกลับตอบว่า ไม่มีความสามารถอะไรเลย ถึงอย่างนั้น เมิ่งฉางจวินก็ยังต้อนรับให้เฝิงเซวียนมาอยู่กับท่าน

เฝิงเซวียนมาอยู่อาศัยกับท่านเมิ่งเป็นเวลานาน ไม่ได้ทำงานอะไรให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่เรียกร้องขอรถม้าและผลประโยชน์ วันหนึ่ง เมิ่งฉางจวินจึงมอบหมายภารกิจให้กับเฝิงเซวียน โดยให้เขาเดินทางไปเก็บเงินค่าที่นาและดอกเบี้ยเงินกู้จากบรรดาชาวบ้านที่เป็นลูกหนี้ของท่านเมิ่งที่เมืองเซวีย และขากลับให้เฝิงเซวียนเอาเงินที่เก็บมาได้หาซื้อของที่ท่านเมิ่งยังขาดอยู่กลับมาให้ด้วย

เมื่อเฝิงเซวียนเดินทางไปถึงเมืองเซวีย เขาเรียกประชุมบรรดาชาวบ้านในเมืองซึ่งต่างก็เป็นลูกหนี้ท่านเมิ่ง แล้วประกาศว่า เมิ่งฉางจวินมีเมตตาต่อชาวบ้านเมืองเซวีย เห็นว่าทุกคนต่างลำบากยากที่จะคืนเงินให้ท่านเมิ่งได้ ท่านเมิ่งจึงขอยกหนี้สินทั้งหมด ให้ทุกคนมีโอกาสทำมาหากินต่อไป บรรดาสัญญากู้เงินที่ติดค้างก็ให้เอามารวมกันแล้วเผาจนหมดสิ้น ชาวบ้านต่างสรรเสริญคุณความดีของท่านเมิ่งกันทั่วทุกคน

หลังเสร็จสิ้นภารกิจ เฝิงเซวียนกลับมาหาเมิ่งฉางจวิน แล้วรายงานสิ่งที่ตนทำลงไปให้ท่านเมิ่งฟัง พร้อมตบท้ายว่า ถึงแม้ข้าจะเก็บเงินมาไม่ได้ แต่ข้าได้ซื้อของที่ท่านขาดอยู่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ เมตตาธรรม ท่านเมิ่งฟังแล้วก็ไม่พอใจ แต่ก็ระงับใจและบอกให้เฝิงเซวียนกลับไปพักผ่อนตามปกติ

lordmengchang

ต่อมา ฉีอ๋อง เจ้าแคว้นฉีเกิดความระแวงในตัวเมิ่งฉางจวิน จึงปลดท่านเมิ่งออกจากตำแหน่ง และต้องหนีราชภัยไปเมืองเซวีย พอไปถึง ชาวเมืองต่างออกมาต้อนรับท่านเมิ่งกันเต็มไปหมด ทั้งหมดต่างซาบซึ้งน้ำใจที่ท่านเมิ่งเคยยกหนี้สินให้พวกเขา ถึงตอนนี้ เมิ่งฉางจวินก็นึกถึงเฝิงเซวียน และเชิญตัวมาขอบใจกับผลงานที่เขาทำเอาไว้ที่เมืองเซวีย แต่เฝิงเซวียนกลับตอบว่า นายท่านยังวางใจไม่ได้ โบราณกล่าวไว้ว่า กระต่ายเจ้าเล่ห์ต้องมีสามโพรง จึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ขณะนี้ท่านยังมีแค่โพรงเดียว ขอโอกาสให้ข้าได้หาโพรงให้กับท่านอีกสองโพรงเถิด ว่าแล้วเฝิงเซวียนก็เบิกทองคำและรถม้าจากท่านเมิ่งเพื่อดำเนินการขั้นต่อไป

เฝิงเซวียนเดินทางไปยังแคว้นเว่ย เพื่อเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง เจ้าแคว้นเว่ย แล้วกราบทูลว่า คุณชายเมิ่ง อัจฉริยะแห่งยุค ได้ถูกปลดจากตำแหน่งในแคว้นฉีแล้ว หากเจ้าแคว้นใดได้คุณชายเมิ่งไปทำงานด้วย แคว้นนั้นย่อมก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในไม่ช้า เจ้าแคว้นเว่ยฟังแล้วรีบบอกเฝิงเซวียนว่า พระองค์ต้องการให้คุณชายเมิ่งมาทำงานด้วย ว่าแล้วก็รีบส่งของกำนัลพร้อมคณะมาเชิญท่านเมิ่งไปทำงานด้วย ท่านเมิ่งก็ปฏิเสธคำเชิญนั้นถึงสามครั้งสามครา ข่าวนี้ก็ไปถึงฉีอ๋อง พระองค์เกิดเกรงกลัวที่จะสูญเสียเมิ่งฉางจวินให้กับแคว้นเว่ย จึงรีบแต่งตั้งเมิ่งฉางจวินกลับสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมพระราชทานเงินทองของกำนัลจำนวนมากเพื่อดึงให้ท่านเมิ่งอยู่กับแคว้นฉีต่อไป ถึงตอนนี้ เฝิงเซวียนถือว่าเขาได้สร้างโพรงที่สองให้กับเจ้านายของเขาแล้ว

เพื่อสร้างโพรงที่สาม เฝิงเซวียนขอให้ท่านเมิ่งกราบทูลขอให้ฉีอ๋องพระราชทานสร้างศาลบรรพบุรุษให้เมิ่งฉางจวินที่เมืองเซวีย เมื่อสร้างแล้ว ฉีอ๋องก็ต้องส่งทหารมาปกป้องคุ้มครองศาลบรรพบุรุษที่สร้างขึ้น (เมิ่งฉางจวิน มีชื่อเดิมว่า เถียนเหวิน แซ่เถียนเช่นเดียวกับฉีอ๋อง) เมื่อสร้างศาลเสร็จ เฝิงเซวียนจึงบอกกับเมิ่งฉางจวินว่า บัดนี้ โพรงทั้งสามได้สร้างเสร็จแล้ว ท่านสามารถนอนหลับอย่างเป็นสุขได้แล้ว

ข้อคิดจากเรื่องนี้ก็คือ ในบางสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหากแผนการหลักพลาด แล้วจะพ่ายแพ้ทั้งกระดาน เป็นภัยถึงชีวิต การเตรียมแผนสำรองไว้เพียงแผนเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องสร้างแผนสำรองเพิ่มอีก เพื่อความปลอดภัย ดังสุภาษิตที่ว่า กระต่ายเจ้าเล่ห์ต้องมีโพรงสามโพรง (狡兔三窟 เจี่ยวทู่ซานคู)

*******************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
22 มกราคม 2560
*******************************

วีรกรรมสะพานหลูติ้ง

ในช่วงแรกของการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหตุการณ์สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งก็คือ การถอยทัพหนีการล้อมปราบจากรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค ที่เรียกกันว่า การเดินทางไกล (Long March) พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องเดินทางไกลถึง 25,000 ลี้ หรือ 12,500 กิโลเมตร ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ปี ระหว่างตุลาคม 1934 ถึง ตุลาคม 1935 ครั้งนั้นกองทัพจีนแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีกำลังพลน้อยกว่ารัฐบาลก๊กมินตั๋งอย่างมาก จำเป็นต้องหนีจากฐานที่มั่นเดิม ผ่าน 11 มณฑล และพื้นที่ทุรกันดารมากมาย ว่ากันว่า ทหารจีนแดงตอนเริ่มต้นเดินทางไกลจำนวน 100,000 คนเมื่อจบภารกิจเดินทางไกลกลับเหลือเพียง 8,000 คนเท่านั้น  แต่ภายใต้ความสูญเสียมากมายขนาดนั้น เหมาเจ๋อตุงกลับประกาศชัยชนะโดยบอกว่า ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์โลก ที่มีการเดินทัพทางไกลขนาดนี้ ได้พิสูจน์ความเป็นวีรชนคนกล้าของกองทัพแดง พรรคก๊กมินตั๋งทุ่มทรัพยากรล้อมปราบกองทัพแดงมากมายขนาดนั้น แต่ยังไม่สามารถพิชิตกองทัพแดงได้ ที่สำคัญที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์ได้โฆษณาป่าวประกาศนโยบายปลดแอกมวลชนต่อประชาชน 200 ล้านคนใน 11 มณฑล ด้วยการเดินทางไปทั่วแผ่นดินจีน

มีวีรกรรมมากมายเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไกล แต่วีรกรรมที่ผมประทับใจที่สุด นั่นคือ วีรกรรมยึดสะพานหลู่ติ้ง เพื่อข้ามแม่น้ำต้าตู้เหอ ในเดือนพฤษภาคม 1935 ตอนนั้นกองทัพแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ถอยทัพมาถึงแม่น้ำต้าตู้เหอ และต้องรีบข้ามแม่น้ำใหญ่สายนี้ไปให้ได้ มิฉะนั้น กองทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คต้องทำลายกองทัพแดงอย่างสิ้นเชิง แม่น้ำสายนี้เป็นสายน้ำเชี่ยวกราก สองฟากฝั่งเป็นหน้าผา มีวังวนแก่งหินที่เป็นอันตรายเต็มไปหมด แต่ที่นั่นมีสะพานข้ามแม่น้ำแห่งเดียวคือ สะพานหลูติ้ง ยาวประมาณ 110 เมตร สร้างด้วยโซ่เหล็กขนาดใหญ่ 13 เส้น ปูไม้กระดานสำหรับเดิน สร้างขึ้นเมื่อปี 1701 แต่เมื่อกองทัพแดงไปถึง กองทัพที่อยู่ฝ่ายเจียงไคเช็คได้ถอดไม้กระดานปูพื้นเก็บไปเสียแล้ว เหลือเพียงโซ่เหล็กเท่านั้น

ภารกิจของกองทัพแดงตอนนั้นคือ ต้องข้ามสะพานหลูติ้ง และยึดฐานที่มั่นฝั่งตรงข้ามให้ได้ ก่อนที่กองทัพใหญ่ของเจียงไคเช็คจะมาถึง นี่คือภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอีกฝั่งของโซ่เหล็ก กองทัพท้องถิ่นที่อยู่ฝ่ายเจียงไคเช็คได้วางกำลังพร้อมยิงใส่ทหารกองทัพแดงที่พยายามข้ามมา กองทัพแดงประกาศรับสมัครหน่วยกล้าตายจำนวน 22 คน รับภารกิจไต่โซ่เหล็กข้ามแม่น้ำ ฝ่าดงกระสุนไปยึดฐานที่มั่นอีกฝั่งแม่น้ำให้ได้ เพื่อให้ทหารอีกหนึ่งกองร้อยรีบเอาไม้กระดานปูสะพานข้ามไป นี่คือภารกิจที่มีโอกาสตายมากกว่ารอด มีแต่คนที่บ้าบิ่นเท่านั้นที่จะยอมรับภารกิจเช่นนี้

แต่สำหรับกองทัพแดงขณะนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องยากที่จะหาหน่วยกล้าตาย 22 คนเพื่อปฏิบัติภารกิจนั้น ทั้ง 22 คนถือปืนประจำตัว พกลูกระเบิดมือคนละ 12 ลูก สะพายดาบทหารม้า มุ่งหน้าไต่โซ่เหล็กไปข้างหน้า ท่ามกลางห่ากระสุนที่ยิงต่อสู้กัน หน่วยกล้าตาย 4 คนร่วงลงจากสะพานตกลงไปในแม่น้ำเชี่ยวกรากลอยลับหายไป ส่วนข้าศึกอีกฝั่งเริ่มจุดไฟเผาสะพานไม่ให้ข้ามมาได้ หน่วยกล้าตายที่เหลือฝ่าไฟเข้าไปจนยึดสะพานอีกฝั่งไว้ได้ ทำให้กองกำลังที่เหลือปูสะพานและยกทัพนับหมื่นข้ามสะพานมาได้

ชัยชนะเหนือสะพานหลูติ้งของกองทัพแดง ได้รับการโจษจันไปทั่วแผ่นดินจีน ภาพวาดหน่วยกล้าตายทั้ง 22 คนที่กำลังข้ามสะพานได้รับการเผยแพร่ไปทั่วประเทศ (ภาพวาดประกอบบทความนี้ ผมถ่ายรูปจากพิพิธภัณฑ์เชิดชูนายพล หยางเฉิงอู่ ผู้เป็นหัวหน้าปฏิบัติการข้ามสะพานหลูติ้ง ที่เมืองฉางทิง มณฑลฝูเจี้ยน เมื่อเดือนมีนาคม 2016 นี้) การพิชิตภารกิจเสี่ยงตายเช่นนี้ทำให้ทหารกองทัพแดงแทบจะกลายเป็นกองทัพที่ทุกคนเชื่อกันว่า ไม่มีใครจะพิชิตเขาได้อีกแล้ว ขวัญกำลังใจของทหารพุ่งสูงถึงขีดสุด แม้ว่าอยู่ระหว่างถอยทัพหนีการล้อมปราบ แต่ขวัญกำลังใจทหารไม่ได้ลดน้อยถอยลง มีแต่เพิ่มพูนขึ้น เหมาเจ๋อตุงไม่พลาดที่จะโฆษณาป่าวประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้ ถือเป็นจุดพลิกผันของพรรคคอมมิวนิสต์ จากเดิมมีแต่ล่าถอยเสียเปรียบก๊กมินตั๋ง แต่คราวนี้ทุกคนในกองทัพเชื่อว่า พวกเขาไม่มีวันแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว มีแต่ดีขึ้นและขยายตัวขึ้น

เรื่องนี้คือตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์ที่ 36 นั่นคือ หนีคือสุดยอดกลยุทธ์ ที่สอนเราว่า การถอยหนีไม่ใช่ความพ่ายแพ้ ในการล่าถอยกลับเต็มไปด้วยพลังที่จะฟื้นตัวเอาชนะกลับมาได้ นั่นเอง

*******************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
26 สิงหาคม 2559
*******************************

กลยุทธ์ทำให้นกร้องเพลง ตอน 3 อิเอยาสุ โตกุกาวะ

แล้วก็มาถึง จอมคนคนที่ 3 ผู้รวมชาติของญี่ปุ่น นั่นคือ อิเอยาสุ โตกุกาวะ เจ้าของกลยุทธ์ “ฉันจะเฝ้ารอคอยจนกว่านกจะร้องเพลง” ผู้ประสบความสำเร็จในการขึ้นครองตำแหน่งโชกุน และสืบทอดอำนาจตำแหน่งโชกุนในตระกูลโตกุกาวะ ต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบสามศตวรรษ

Tokugawa Ieyasuอิเอยาสุ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1542 ในแคว้น มิคาว่า เป็นบุตรของไดเมียวเล็กๆ ในวัยเด็กถูกส่งตัวไปเป็นตัวประกันที่ตระกูลอิมางาวะ แคว้นใหญ่ข้างเคียงเพื่อแสดงความภักดี ต่อมาได้ส่งตัวกลับมาเป็นไดเมียวแห่งมิคาว่าหลังจากที่พ่อเขาเสียชีวิต กลยุทธ์ในช่วงต้นของอิเอยาสุ คือ การเข้าสวามิภักดิ์กับแคว้นที่กำลังขยายอำนาจ โดยเมื่อแคว้นโอวาริของ โอดะ โนบุนากะ จอมคนท่านแรกที่เราเคยกล่าวถึงไปแล้วในตอนแรก ได้พิชิตชัยเหนือตระกูลอิมางาวะได้ เขาก็เปลี่ยนข้างมาอยู่ฝ่ายเดียวกับ โอดะ โนบุนากะ ทันที การเป็นพันธมิตรกับโอดะ ทำให้ อิเอยาสุได้เริ่มสั่งสมทรัพยากรและความพร้อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แต่เมื่อโอดะ โนบุนากะ ถูกหักหลังโดยลูกน้องคนสนิทอย่าง อาเคชิ มิตสึฮิเดะ จนเขาต้องทำเซ็ปปุกุตายไป อิเอยาสุที่กำลังเดินทัพอยู่ก็ต้องหนีตายอย่างทุลักทุเลภายใต้ความช่วยเหลือจากนินจาผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านฮัตโตริ ฮันโซ จนกลับไปถึงแคว้นมิคาว่าของตนอย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นเขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกตั้งตนเป็นใหญ่หรือไปอยู่กับฝ่ายใด หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างดีแล้ว เขาตัดสินใจเลือกอยู่ฝ่ายฮิเดโยชิ จอมคนคนที่ 2 ซึ่งเป็นการเลือกที่ถูกต้อง เพราะเมื่อฮิเดโยชิสามารถยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จ อิเอยาสุก็ได้รับมอบดินแดนคันโต ซึ่งปัจจุบันคือ โตเกียว เป็นรางวัล

ในช่วงท้ายของฮิเดโยชิ เขามีความหวาดระแวงในตัวอิเอยาสุอย่างยิ่งว่า อาจก่อกบฏได้หากตัวฮิเดโยชิไม่อยู่ เขาจึงแต่งตั้งสภาไทโร ประกอบด้วย ผู้อาวุโส 5 ท่าน คานอำนาจซึ่งกันและกัน เพื่อว่าราชการแทนบุตรชายของเขาที่ยังเป็นเด็กจนกว่าจะพร้อม หนึ่งในนั้นคือ อิเอยาสุ นั่นเอง นอกจากนี้ การบุกเกาหลีของฮิเดโยชิ ที่ยืดเยื้อและสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างยิ่งนั้น ไม่ได้มีกองทัพจากอิเอยาสุเลย ทำให้เขาแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนั้น

เมื่อฮิเดโยชิถึงแก่อสัญกรรม ความตึงเครียดที่ว่าอิเอยาสุจะก่อกบฏก็เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังคงรอคอยให้ผู้อาวุโสคนสำคัญในสภาไทโร อย่าง มาเอดะ โทชิอิเอะ เสียชีวิตไปก่อน เขาจึงเริ่มก่อการจนเกิดการสู้รบครั้งประวัติศาสตร์ที่ ทุ่งเซกิงะฮะระ กับทางกองทัพ อิชิดะ มิซึนะริ ผู้ภักดีต่อบุตรชายของฮิเดโยชิ ในปี 1600 โดยอิเอยาสุได้เกลี้ยกล่อมแม่ทัพฝ่ายอิชิดะทรยศมาอยู่ข้างเขาได้ ทำให้เขาสามารถเอาชนะในสมรภูมิครั้งนี้ได้ ทำให้เขาขึ้นครองอำนาจเหนือญี่ปุ่นได้อย่างเบ็ดเสร็จ และได้รับการแต่งตั้งเป็น โชกุน จากองค์จักรพรรดิ ใน ค.ศ.1603

แม้ว่าเขาจะขึ้นครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จแล้วก็ตาม อิเอยาสุยังไม่ได้เข้ายึดปราสาทโอซาก้าซึ่งเป็นที่พำนักของ ฮิเดโยริ บุตรชายของฮิเดโยชิ ที่ว่ากันว่าเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุด เขาเฝ้าอดทนรอจนกระทั่งปี 1615 เขาจึงยกทัพเข้าโจมตีปราสาทโอซาก้า จนฮิเดโยริต้องทำเซ็ปปุกุคว้านท้องสิ้นชีวิตไปพร้อมกับมารดาของเขา ทำให้อำนาจของตระกูลโตกุกาวะมั่นคง สามารถครองอำนาจสืบทอดตำแหน่งโชกุนไปได้จนถึง ค.ศ. 1868 เลยทีเดียว

หากเรานำชีวิตของอิเอยาสุมาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การลงทุน อิเอยาสุ ก็เหมือนกับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ VI ที่สามารถเฝ้ารอให้ราคาหุ้นที่ต้องการลงทุนร่วงลงมาจนได้ส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เพียงพอ จึงจะลงทุน เขาไม่ชอบการเสี่ยงเข้าไปลงทุนในหุ้นหวือหวา แต่เขาเน้นการลงทุนที่เขาชนะแน่ๆมากกว่า เขาไม่มีความยึดติดกับหุ้นตัวไหน โดยจะลงทุนกับหุ้นที่ชนะแน่ๆ และพร้อมทิ้งไปหาตัวใหม่หากเห็นว่าไม่เป็นไปตามที่คิด การที่จะใช้กลยุทธ์นี้ได้ เขาต้องอดทน และต้องรักษาสุขภาพ เพราะกลยุทธ์เช่นนี้ต้องใช้เวลารอคอย หากอายุไม่ยืนยาวพอ ก็จะไม่เห็นผลชัดเจน กลยุทธ์นี้แม้ไม่หวือหวา แต่ได้ผลแน่นอนและยั่งยืน

************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
30 พฤษภาคม 2559
************************************************

ข้อมูลจาก หนังสือ ตำนานสามวีรบุรุษสร้างชาติญี่ปุ่น โดย วีระชัย โชคมุกดา และ Ninja Attack! โดย Hiroko Yoda & Matt Alt

 

กลยุทธ์สู่ความมั่งคั่งของอาณาจักรอยุธยา

ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16-18 กรุงศรีอยุธยามีชื่อเสียงในหมู่นักเดินทางและพ่อค้าระหว่างประเทศว่าเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ แต่เวลาคนไทยพูดถึงอยุธยา เรามักจะสนใจเฉพาะเรื่องการสงครามมากกว่า ซึ่งนั่นอธิบายความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอยุธยาเพียงแค่มิติเดียว และมองข้ามปัจจัยสำคัญที่ทำให้อยุธยากลายเป็นอาณาจักรชั้นนำในภูมิภาคนี้ นั่นคือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ผมจึงคิดว่าการศึกษาอยุธยาในแง่ของเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศมีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

1686FrenchMapOfSiam

จากงานวิจัยของ ดร.วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ พบว่า ที่มาของความมั่งคั่งของอาณาจักรอยุธยานั้น มาจากการค้ากับต่างประเทศเป็นสำคัญ อยุธยามีการค้าทางทะเลกับเมืองต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น และยุโรป ทำให้มีเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจอยุธยาอยู่มาก ในประชุมพงศาวดารเล่ม ๒๓ (ภาค ๓๙ (ต่อ) – ๔๐) ได้บันทึกไว้ว่า “..พวกไทยได้เอาเงินทองบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปเป็นอันมาก…ในพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้นได้พบเงินถึง ๕ ไห และทอง ๓ ไห…ทองคำเป็นสิ่งที่หาง่ายจนถึงกับหยิบกันเล่นเป็นกำๆ…” ที่วัดพุทไธศวรรย์เพียงวัดเดียวพบทองจำนวนมาก บรรทุกเรือยาวได้ถึง ๓ ลำ หลักฐานเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ความมั่งคั่งของอาณาจักรอยุธยาได้เป็นอย่างดี

ปัจจัยความสำเร็จทางการค้าของอยุธยา มาจากสองปัจจัยหลัก ปัจจัยแรกคือ กรุงศรีอยุธยามีที่ตั้งอยู่ในทำเลการค้าที่ดี โดยตั้งอยู่บนตรงกลางภาคพื้นดินของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย กับทะเลจีนใต้ ทำให้อยุธยาสามารถซื้อสินค้าจากพ่อค้าด้านหนึ่งแล้วส่งต่อไปขายให้พ่อค้าอีกด้านหนึ่งได้ ควบคู่กับการขายสินค้าที่ได้จากดินแดนกว้างใหญ่ของอาณาจักรอยุธยาเอง

ส่วนปัจจัยที่สองก็คือ ความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของอยุธยาเองที่ทำให้การค้าในอยุธยามีความคึกคัก หากเราเจาะลึกลงไปอีกพบว่า ความสามารถในการบริหารจัดการนั้น มาจากกลยุทธ์หลักสองประการ นั่นคือ กลยุทธ์การสร้างความมั่นคงในอาณาจักร ทำให้หัวเมืองสำคัญอยู่ภายในอยุธยา มีความสงบเรียบร้อย ไม่ก่อกบฏหรือหันไปหาอาณาจักรอื่นที่ก็มีเมืองท่าเช่นกัน อย่าง พะโค (พม่า) และละแวก (กัมพูชา) ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ได้ยกเลิกเมืองพระยามหานครที่เจ้าเมืองมีความเป็นอิสระมาก แล้วตั้งเป็น เมืองเอก (เช่น พิษณุโลก นครศรีธรรมราช) โท (เช่น สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครราชสีมา) ตรี (เช่นพิจิตร นครสวรรค์​ จันทบุรี พัทลุง) แทน เพื่อดึงอำนาจเข้าส่วนกลาง และสร้างเส้นทางเศรษฐกิจที่มั่นคงขึ้นมาได้ ส่วนกลยุทธ์ที่สองของอยุธยาคือ กลยุทธ์การจัดหาสินค้าตามความต้องการของตลาดและกำหนดราคาที่เหมาะสมผ่านองค์กรพระคลังสินค้า กลยุทธ์ข้อนี้ทำได้ก็เพราะอยุธยาประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์แรกก่อน ทำให้หัวเมืองด้านในที่ไม่ติดทะเลส่งสินค้าหายากมาขายยังอยุธยาเพื่อส่งออกไปต่างประเทศต่อไป เวลาที่ตลาดจีนต้องการช้าง งาช้าง นอแรด ขนนกยูง อยุธยาก็จัดหาให้ได้ เวลาที่ตลาดญี่ปุ่นต้องการของป่า อย่าง หนังกวาง ไม้ฝาง ไม้จันทน์หอม อยุธยาก็จัดหาได้เช่นกัน  นอกจากนี้การมีหน่วยงานพระคลังสินค้า ทำให้พ่อค้ามีความเชื่อถือและมั่นใจในการตกลงค้าขายว่าจะหาสินค้าได้ตามสัญญาและไม่เบี้ยวหนี้ ในทางกลับกัน พระคลังสินค้าก็มีข้อมูลมากพอที่จะเจรจาตกลงการค้ากับต่างชาติโดยไม่เสียเปรียบ

โดยสรุปแล้ว แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะมีที่ตั้งที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันเพราะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ แต่ที่ตั้งเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถทำให้กรุงศรีอยุธยามีความยิ่งใหญ่ทางด้านการค้าระหว่างประเทศได้หากขาดความสามารถในการบริหารจัดการ บทเรียนจากประวัติศาสตร์นี้ย่อมนำมาใช้กับเมืองไทยปัจจุบันได้เช่นกัน เพราะประเทศไทยก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม มีความได้เปรียบจากตำแหน่งที่ตั้ง แต่ประเทศไทยจะยังคงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการของคนในประเทศนั่นเอง

 

**********************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
2 มีนาคม 2559
**********************************************************

ข้อมูลจาก หนังสือ “หนังกวาง ไม้ฝาง ช้าง ของป่า การค้าอยุธยาสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓” โดย ดร.วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ

“ถ้าคุณเป็นคนฉลาดในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 คุณจะหาทางไปอยู่ในทวีปเอเชีย”

ในหนังสือขายดีเล่มล่าสุดของ จิม โรเจอร์ส สุดยอดเซียนหุ้นของโลก เขาได้เขียนตอนหนึ่งว่า “ถ้าคุณเป็นคนฉลาดในช่วงต้นคริสต์วรรษที่สิบเก้า คุณจะเดินทางไปลอนดอน ถ้าคุณเป็นคนฉลาดในช่วงต้นคริสต์วรรษที่ยี่สิบ คุณจะเก็บข้าวของแล้วย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์ก ถ้าคุณเป็นคนฉลาดในช่วงต้นคริสต์วรรษที่ยี่สิบเอ็ด คุณจะหาทางไปอยู่ในทวีปเอเชีย”

 

หน้าปก Street Smarts-create-220

ทำไม จิม โรเจอร์ส แนะนำอย่างนั้น ก็เพราะว่าศตวรรษที่ 19 เป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ จักรวรรดิอังกฤษได้พัฒนากลายเป็นมหาอำนาจของโลกในช่วงเวลานั้นจนกลายเป็น ดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ส่วนศตวรรษที่ 20 จากผลกระทบของสงครามโลกทั้งสองครั้ง สร้างความบอบช้ำให้ยุโรป และทำให้ สหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลก ส่วนในศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องที่ชัดเจนแล้วว่า ทวีปเอเชียจะกลายเป็นมหาอำนาจของโลกแทนที่ตะวันตก

การตัดสินใจย้ายไปอยู่ในดินแดนที่กำลังรุ่งเรืองจนกลายเป็นมหาอำนาจของโลกนั้น เป็นกลยุทธ์ที่ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า ถ้าเราไปอยู่ถูกที่ถูกเวลา ถึงแม้เราไม่ได้เป็นผู้ที่เก่งที่สุด แต่เราก็จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มขาขึ้นของสังคมนั้นด้วย ที่ที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ว่าอาชีพอะไรก็ย่อมได้ประโยชน์ไปด้วย ผมเคยคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นผู้บริหารระดับผู้จัดการเขตธนาคาร ตอนนั้นท่านใกล้จะเกษียณแล้ว ท่านเล่าว่า ช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดของชีวิต ก็คือ ตอนที่เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารอยู่ที่ภาคตะวันออกในยุคเฟื่องฟูสมัยพลเอกชาติชายเป็นนายกรัฐมนตรี ราคาที่ดินในภาคตะวันออกพุ่งขึ้นอย่างติดจรวด มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันเร็วมาก ท่านนั่งเป็นผู้จัดการสาขาธนาคาร ที่ดินแปลงเดียวกันมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันสี่รอบภายในปีเดียว นอกจากจะได้ยอดสินเชื่อแล้ว ท่านยังได้ค่านายหน้าในการแนะนำลูกค้ามาซื้อขายที่ดินนั้นด้วย โดยแทบไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรเท่าไหร่เลย จนมีรายได้สร้าง passive income ที่แทบไม่ต้องพึ่งเงินเดือนพนักงานธนาคารอีกเลย

ในหนังสือเล่มดังกล่าว จิม โรเจอร์ส ยังให้คำแนะนำดีๆให้กับผู้อ่านอีกมาก เป็นมุมมองจากเซียนหุ้นชั้นนำของโลก ผู้มีความโดดเด่นจากการคาดการณ์แนวโน้มอนาคต ผมเองซื้อหนังสือเล่มนี้อ่านตั้งแต่ตีพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษออกมาใหม่ๆ อ่านแล้วประทับใจมาก จนได้ติดต่อซื้อลิขสิทธิ์แปลจาก จิม โรเจอร์ส โดยตรง ในที่สุดก็ได้ลิขสิทธิ์แปลมา และได้คุณวิรัตน์ รัตนเวชสิทธิ นักแปลฝีมือเยี่ยมมาช่วยแปลและเรียบเรียง ส่วนผมทำหน้าที่บรรณาธิการ ร่วมกับคุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach ช่วยกันตรวจทานอีกที ตอนนี้ หนังสือฉบับแปลเป็นไทยในชื่อว่า “รู้จริง รวยจริง อย่างเซียนหุ้น : การผจญภัยบนเส้นทางชีวิตและตลาดการเงิน” กำลังเปิดจองสั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-Order) อยู่ที่เว็บของสำนักพิมพ์ลีฟริช จนถึง 15 มี.ค. 59 นี้ ราคาเต็ม 220 ช่วงนี้ลดพิเศษ 15% เหลือเพียง 185 บาท (ไม่มีค่าจัดส่ง) สนใจคลิกไปที่ http://shop.liverich.co.th/streetsmartlp/ ได้เลยครับ

**********************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
25 กุมภาพันธ์ 2559
**********************************************************

การซ้อมรบมิลเลนเนียมชาเลนจ์ 2002: เมื่อกลยุทธ์ตัดสินใจโดยการคิดวิเคราะห์ ปะทะ การใช้สัญชาตญาณ

เมื่อปี 2002 กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ได้ทดลองเกมการรบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุ่มงบกว่า 250 ล้านดอลลาร์ โดยเรียกการซ้อมรบผ่านเกมจำลองครั้งนี้ว่า มิลเลนเนียมชาเลนจ์ 2002 (Millennium Challenge 2002) เกมจำลองการรบครั้งนี้เป็นการสมมติสถานการณ์การต่อสู้ระหว่าง ฝ่ายสหรัฐอเมริกา หรือ Blue Team กับฝ่ายกองกำลังเถื่อน หรือ Red Team โดยฝ่ายสหรัฐฯ หรือ Blue Team มีอุปกรณ์ไฮเทคอย่างพร้อมพรัก ไม่ว่าจะเป็น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ดาวเทียม อุปกรณ์ข่าวกรองต่างๆ ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวกรองในปริมาณมหาศาลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน มีขั้นตอนการทำงานที่สมเหตุสมผล เป็นระบบ และแม่นยำ พวกเขาได้รับของเล่นทุกชิ้นในคลังสรรพาวุธของกระทรวงกลาโหมเลยทีเดียว ส่วนฝ่ายกองกำลังเถื่อน หรือ Red Team นำโดยนายพลแวนไรเปอร์ สมมติว่าเป็นกองกำลังกบฏของประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ที่สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ ตามประวัติการรบแล้ว นายพลแวนไรเปอร์เป็นนายทหารผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่า สงครามนั้นทำนายล่วงหน้าไม่ได้ โดยเขายึดแนวคิดของนโปเลียนว่า “แม่ทัพไม่เคยรู้บางสิ่งอย่างแน่ชัด ไม่เคยเห็นศัตรูอย่างแจ่มแจ้ง และไม่เคยรู้ว่าอย่างชัดเจนว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน” เขาเกลียดการตัดสินใจที่อาศัยการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบตามที่กระทรวงกลาโหมพยายามพิสูจน์ในการซ้อมรบครั้งนี้ เพราะว่ามันใช้เวลานานเกินไป จึงไม่เหมาะต่อการนำไปใช้ในสถานการณ์สงครามอย่างยิ่ง เราพอจะพูดได้ว่า การซ้อมรบครั้งนี้เป็นการพิสูจน์กลยุทธ์การทำสงครามระหว่าง ฝ่ายที่เน้นการรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจนเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจอย่างเป็นระบบ กับฝ่ายที่เน้นสัญชาตญาณนำการรบ นั่นเอง

MilleniumChallenge2002

เกมการรบครั้งนี้ ใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) เพื่อจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาอย่างสมจริงจนคนในห้องซ้อมรบมองไม่ออกว่าเป็นเรื่องสมมติ การซ้อมรบครั้งนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ครึ่ง ในวันแรกของการซ้อมรบ ทีมสหรัฐฯได้ส่งกองกำลังหลายหมื่นนาย พร้อมกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าสู่อ่าวเปอร์เซีย เพื่อล้อมกองกำลังทีมสีแดงของแวนไรเปอร์ เมื่อแสดงแสนยานุภาพให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ก็ยื่นข้อเสนอให้แวนไรเปอร์ยอมจำนน ทีมสหรัฐฯมีข้อมูลชัดเจนว่าทีมแวนไรเปอร์ฯมีจุดอ่อนตรงไหน ตั้งใจจะทำอะไรต่อไป และเริ่มตัดเสาส่งคลื่นไมโครเวฟและระบบไฟเบอร์ออปติกของแวนไรเปอร์ เพราะคิดว่าจะบีบให้แวนไรเปอร์ไปสื่อสารด้วยดาวเทียมและโทรศัพท์มือถือ แต่ปรากฏว่า แวนไรเปอร์ไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย เขาสื่อสารด้วยเมสเสนเจอร์ขี่มอเตอร์ไซค์ หรือใส่ในข้อความบทสวดมนต์ส่งผ่านในมัสยิด การนำเครื่องบินขึ้นก็ทำโดยใช้ระบบไฟสัญญาณ แบบยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยไม่ใช่ระบบสื่อสารวิทยุที่ล่มไปแล้ว พอวันที่สอง แวนไรเปอร์ ส่งกองเรือลำเล็กๆ เข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อติดตามเรือทีมสหรัฐฯ และระดมยิงนาน 1 ชั่วโมงด้วยขีปนาวุธขนาดเล็กอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว จนทำให้ เรือ 16 ลำของทีมสหรัฐต้องจมไปนอนก้นอ่าวเปอร์เซีย ถ้าการซ้อมรบครั้งนี้เกิดขึ้นจริง ทหารอเมริกันจะต้องเสียชีวิตกว่า 20,000 คนก่อนที่กองทัพของเขาจะทันยิงปืนด้วยซ้ำ และจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมของกองทัพสหรัฐนับตั้งแต่เพิร์ลฮาร์เบอร์เลยทีเดียว

วันรุ่งขึ้น นายทหารผู้ดูแลปฏิบัติการซ้อมรบครั้งนี้ ตัดสินใจให้เริ่มทุกอย่างใหม่ทั้งหมด เรือรบทั้ง 16 ลำที่จมอยู่ใต้ก้นอ่าวเปอร์เซีย ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อทีมแวนไรเปอร์ยิงขีปนาวุธใส่ทีมสหรัฐฯ ผลปรากฏว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธจะยิงมันตกทุกลูก เขาถูกห้ามใช้เรดาร์เพื่อไม่ให้แทรกแซงฝ่ายสหรัฐฯได้ พูดง่ายๆคือ การซ้อมรบรอบที่สองนี้ถูกเขียนบทไว้หมดแล้ว ทำให้ทีมสหรัฐฯเป็นฝ่ายชนะไปอย่างเด็ดขาดในรอบสองนี้ กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ประกาศความสำเร็จของนโยบายการรบแบบใหม่ที่ใช้ข่าวสารข้อมูลปริมาณมหาศาลและการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบเป็นปัจจัยสู่ชัยชนะ ตามบทที่พวกเขาตั้งไว้ตั้งแต่ก่อนซ้อมรบ

เพื่อให้ได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ เราต้องมองข้ามผลการซ้อมรบอย่างเป็นทางการ แต่หันกลับไปศึกษาความสำเร็จของแวนไรเปอร์ที่ถล่มทีมสหรัฐฯได้ในช่วงสองวันแรก แวนไรเปอร์ให้ข้อคิดไว้ว่า “ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างการคิดวิเคราะห์กับการตัดสินใจตามสัญชาตญาณแล้ว คงไม่มีแบบไหนดีหรือแย่กว่ากันหรอก แต่ปัญหาจะเกิดเมื่อคุณใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์” ในระหว่างการสู้รบจริงๆ ผู้นำต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้น ไม่สามารถนั่งรอข้อมูลวิเคราะห์ให้ชัดเจนแล้วค่อยตัดสินใจ “ถ้าคุณเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการหาข้อมูล ดีไม่ดีคุณจะจมกองข้อมูล”

*********************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
21 กุมภาพันธ์ 2559
*********************************************************

ข้อมูลจาก หนังสือ Blink โดย Malcolm Gladwell บทที่ 4: Paul Van Riper’s Big Victory – Creating Structure for Spontaneity
เครดิตภาพประกอบจาก http://archive.defense.gov

จากวันคนโสด ถึง Black Friday กลยุทธ์กระตุ้นยอดขายของธุรกิจค้าปลีก

ตามตำราการตลาดที่เรียนเหมือนกันทั่วโลกนั้น กลยุทธ์ทางการตลาดแบบดั้งเดิม ก็คือ 4Ps ซึ่งประกอบด้วย Product (ผลิตภัณฑ์), Price (ราคา), Place (ช่องทางจำหน่าย), Promotion (การส่งเสริมการตลาด) นักการตลาดจะต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ผสมผสานกันให้ลงตัวจึงจะประสบความสำเร็จ ในบรรดาทั้งสี่ข้อนั้น กลยุทธ์ข้อที่ 4 Promotion เป็นกลยุทธ์สำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจค้าปลีก

SinglesDayToBlackFriday

สุดยอดของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด หรือ โปรโมชั่น นั้น ก็คือ ทำให้เกิดเป็นกระแสหลักของสังคม ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้ไม่งั้นจะตกกระแส ซึ่งจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ สูงกว่ายอดขายปกติหลายเท่าตัว จนทำให้ต้นทุนการทำโปรโมชั่นมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น

อย่าง อาลีบาบา เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของจีน ก็ได้เกาะกระแส วันคนโสด (Singles’Day) จนกลายเป็นเทศกาลขายของออนไลน์ที่ทำยอดขายสูงสุดในโลก อันที่จริง วันคนโสด นี้ไม่ได้เริ่มต้นจากธุรกิจค้าปลีก แต่เริ่มจากนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนานกิงเมื่อปี 1993 ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลข 1 ซึ่งเป็นเลขคี่คล้ายกับคนยืนอยู่คนเดียว ไม่มีคู่ หรือคนโสด นั่นเอง และวันที่ 11 เดือน 11 ก็เหมือนกับคนโสดยืนอยู่ 4 คน จึงกำหนดให้วันนี้เป็นวันฉลองสำหรับนักศึกษาที่ยังไม่มีแฟน กระแสวันคนโสดนี้ได้แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ จนในปี 2009 เว็บไซต์ อาลีบาบา ของ แจ็ค หม่า ก็เลือกเอาวันนี้สร้างเป็นกระแส จัดกิจกรรมลดราคา ขายของผ่านระบบออนไลน์ จนประสบความสำเร็จ สร้างยอดขายถล่มทลาย โดยในปีแรก มียอดขายวันนี้วันเดียว 8 ล้านดอลลาร์ฯ ปีต่อๆมา ยอดขายก็ทวีคูณอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดเมื่อ 11 พ.ย. 2015 ยอดขายวันนี้ก็สูงถึงกว่า 14,300 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นเทศกาลขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว

ส่วน Black Friday นั้น ก็เป็นเทศกาลขายของสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา และกระจายไปหลายๆประเทศ โดยถือเอาวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day ตรงกับวันพฤหัสที่สี่ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี) อย่างปีนี้ Black Friday ก็ตรงกับวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2015 ว่ากันว่า ที่มาของเทศกาลนี้มีอยู่ 2 แบบ โดยแบบหนึ่งมาจากการที่ธุรกิจค้าปลีกมียอดตัวแดงที่แปลว่าขาดทุนมาตลอด 11 เดือน เมื่อถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็เป็นช่วงทำโปรโมชั่นเพื่อให้ตัวเลขกลับมาเป็นตัวดำ หรือมีกำไรนั่นเอง ในวันนี้ร้านค้าทั้งหลายในสหรัฐอเมริกาต่างพากันลดราคาเพื่อให้ลูกค้ารีบมาซื้อของเตรียมต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสในเดือนธันวาคม จนกลายเป็นกระแสนิยม และเป็นประเพณีในที่สุด ภาพข่าวที่เรามักพบเห็นในเทศกาลนี้คือผู้คนต่างแย่งกันเข้าไปซื้อของลดราคาจนเกิดการทะเลาะกัน ตัวเลขยอดขายใน Black Friday เป็นดัชนี้ชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐอเมริกา ด้วยยอดขายที่สูงถึง 50,900 ล้านดอลลาร์ ในปี 2014 (เป็นตัวเลขรวม 4 วัน) แต่ด้วยอัตราการเติบโตของยอดขายในช่วง 5 ปีหลังสุดประมาณ 4.3% ต่อปีเท่านั้น ส่วนยอดขายวันคนโสดของอาลีบาบาเติบโตในอัตรา 248% ต่อปีในช่วง 6 ปีที่จัดเทศกาลนี้ขึ้นมา

อีกไม่กี่ปี เทศกาลวันคนโสดของจีนคงจะมีตัวเลขยอดขายแซงหน้าเทศกาลแบล็คฟรายเดย์ของสหรัฐฯไปได้ไม่ยากนัก เหมือนกับอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนที่มีต่อโลกใบนี้นั่นเอง

*********************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
26 พฤศจิกายน 2558
*********************************************************

เครดิตภาพประกอบจาก Reuters, http://www.hardwarezone.com.sg, AP Photo/Andy Wong, Chrionexfleckeri1350

ในที่สุด บริษัทต่างชาติก็คว้าสิทธิถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกอังกฤษในไทยไป

เมื่อวานนี้ มีข่าวออกมาว่า ผลการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษในประเทศไทย สำหรับฤดูกาล 2016-2019 ได้ข้อสรุปแล้ว นั่นคือ บริษัท beIN SPORTS จากสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ชนะการประมูล ได้สิทธิไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยตัวเลขราว 190 ล้านปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าราคาประมูลครั้งที่แล้วที่ CTH ชนะไป (204.8 ล้านปอนด์) ส่วนผู้เข้าร่วมประมูลอีก 3 รายก็ต้องผิดหวังไป ได้แก่ แชมป์เก่า CTH, TrueVisions และ Fox Sports
ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้เมื่อ 10 ส.ค. 58 (http://goo.gl/j9utks ) ว่า กลยุทธ์ที่ผู้เข้าประมูลจากไทยคิดว่าจะฮั้วกันเพื่อให้ได้ราคาประมูลต่ำสุดนั้น คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก “..โลกเศรษฐกิจเสรี กลยุทธ์เช่นนั้นอาจจะไม่ได้ผลแน่นอนเสมอไป เพราะการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษสำหรับประเทศไทยไม่ได้มีผู้เข้าร่วมประมูลจากเมืองไทยอย่างเดียวเท่านั้น ถึงเราจะฮั้วกันได้ ยังมีบริษัทต่างชาติที่เตรียมเข้าประมูลเหมือนกัน ซึ่งหากเขาได้ไป ก็จะเอากลับมาขายให้ผู้ประกอบการในไทยอีกทีในราคาที่สูงขึ้น..”

สุดท้ายก็เป็นไปตามคาดก็คือ ราคาไม่ได้ถูกลงซักเท่าไรเลย แม้ว่า CTH เข้าประมูลด้วยหวังว่าจะใช้เงินน้อยกว่าครั้งก่อน เพราะตัวเลขครั้งที่แล้วที่ราวๆ 200 ล้านปอนด์นั้น ขาดทุน ส่วน TrueVisions ก็เคยประมูลได้สำหรับฤดูกาล 2010-13 ที่ราคา 38 ล้านปอนด์ ก็ไม่อยากจ่ายแพงขนาด 200 ล้านปอนด์เช่นกัน แต่ปรากฏว่า ยังมีคู่แข่งจากต่างชาติอีก 2 เจ้า คือ Fox Sports และ beIN Sports มาแข่งด้วย ในที่สุด beIN ก็ชนะไปด้วยราคาราว 190 ล้านปอนด์ ต่ำกว่าครั้งที่แล้วเพียง 6-7% เท่านั้น แต่ถ้าคิดแปลงเป็นเงินบาทด้วยอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน ราคาแพงกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

ต่อจากนี้ beIN ก็คงนำลิขสิทธิ์นี้มาขายต่อให้กับผู้ประกอบการในไทย ตามข่าวน่าจะชัดเจนแล้วว่า จะนำไปออกทาง TrueVisions เพราะตอนนี้ beIN ก็มีช่องรายการบนทรูวิชั่นส์อยู่แล้ว 1 ช่อง แต่ก็เชื่อว่า beIN น่าจะขายบางแมตช์ให้กับทีวีช่องอื่นๆที่ต่างก็สนใจจะถ่ายทอดฟุตบอลอังกฤษอยู่แล้ว ส่วน CTH คงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหนื่อยมากที่จะดึงฐานลูกค้าเก่าให้ยังคงเป็นสมาชิก CTH ต่อไป

สรุปก็คือ เจ้าของ Content อย่าง EPL ก็ยังคงเก่งเช่นเคย โดยสามารถวางกลยุทธ์จัดสภาพบรรยากาศและเงื่อนไขการแข่งประมูลจนได้ราคาใกล้เคียงกับของเดิมได้ แม้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไทยจะดูไม่ค่อยดีก็ตาม

*********************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
5 พฤศจิกายน 2558
*********************************************************

เครดิตข่าวจาก หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับ 5 พ.ย. 2558

กลยุทธ์ทำให้นกร้องเพลง ตอน 2 โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ

ตอนที่แล้ว ผมได้เล่าเรื่องของท่านโอดะ โนบุนะกะ ไปแล้ว มาถึงตอนที่ 2 ก็เป็นเรื่องของท่านโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้เฉลียวฉลาดและชำนาญงานการเมืองการปกครองมากที่สุด ผู้ที่บอกว่า “ถ้านกไม่ยอมร้องเพลง ข้าจะสอนให้มันร้องเพลงให้ได้”

hideyoshi2

โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ เกิดเมื่อ 2 ก.พ. ค.ศ. 1536 อายุน้อยกว่าโนบุนะกะ 2 ปี ฮิเดโยชิเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจน ไม่มีสายเลือดซามูไรหรือชนชั้นสูงอยู่เลย เมื่อโตขึ้น ได้ออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เข้าร่วมกับกองทัพของโนบุนะกะในตำแหน่งพลทหารรับใช้ ผู้ดูแลรองเท้าให้โนบุนะกะ ต่อมา เขาได้แสดงความสามารถไต่เต้าตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สามารถคิดกลยุทธ์เข้ายึดปราสาทกิฟุได้ จนได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพ เข้าร่วมทำศึกมากมายจนกลายเป็นขุนพลคนสำคัญของโนบุนะกะ

เมื่อโนบุนะกะเสียชีวิตจากการก่อกบฏของ อาเคชิ มิทสึฮิเดะ ทาง ฮิเดโยชิ จึงนำทัพเข้าปราบกบฏและเอาชนะพร้อมสังหารมิทสึฮิเดะได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ จากนั้น ฮิเดโยชิ ได้อ้างตนเป็นผู้คุ้มครองตระกูลโอดะ โดยเขาประกาศตั้ง โอดะ ฮิเดโนบุ บุตรชายวัยห้าขวบของโอบุนากะขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลโอดะคนใหม่ ทั้งๆที่ยังมีคนในตระกูลโอดะคนอื่นโตพอจะสืบตระกูลได้ ทำให้ขุนพลในตระกูลรู้ทันทีว่าฮิเดโยชิวางแผนจะขึ้นเป็นใหญ่ จึงเกิดการต่อสู้กัน ในที่สุด ฮิเดโยชิก็สามารถเอาชนะได้ทั้งหมด และก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดในภาคกลางของญี่ปุ่น แต่เขาไม่สามารถขึ้นเป็น โชกุน ได้เพราะชาติกำเนิดเป็นเพียงชาวนาเท่านั้น เป็นได้เพียงตำแหน่ง คัมปะกุ (Kampaku) หรือผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ เท่านั้น

ในเวลานั้น กล่าวได้ว่า ฮิเดโยชิ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ในด้านการปกครอง เขาได้ดำเนินการสำรวจที่ดินที่ใช้ในการเกษตรทั้งหมด ทำให้เกิดการปฏิรูปการใช้ที่ดินและพัฒนาผลผลิตการเกษตร, เขาเร่งยึดอาวุธจากชาวนาในชนบท เพื่อป้องกันการเกิดกบฏชาวนา โดยอ้างว่าต้องเอาไปหลอมเพื่อหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เรียกว่า การล่าดาบ (Sword Hunt), สนับสนุนให้ไดเมียวออกกฎหมายควบคุมสมาชิกของตนเองทำให้เกิดระบบสังคมชนชั้นที่ชัดเจน, ส่งเสริมการค้าเสรี สนับสนุนการต่อเรือ แต่งเรือสินค้าไปต่างประเทศ เปิดรับเรือสินค้าจากชาติอื่นๆ โดยมีเมืองนางาซากิ เป็นเมืองท่าติดต่อกับนานาชาติ ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรืองอย่างมาก

oda_nobunaga_toyotomi_hideyoshi_map_of_conquest
แผ่นดินญี่ปุ่นในยุคของ โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ
ในด้านการทหาร เขาได้บุกยึดเกาะชิโกกุ เกาะคิวชู จนสามารถรวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นที่แตกแยกมาหลายร้อยปีให้กลับมารวมกันได้ จากนั้น เขาต้องการแผ่ขยายอำนาจไปไกลกว่านั้น จึงส่งกองทัพ 150,000 คนไปบุกเกาหลี ครั้งแรกในปี 1592 โดยขึ้นฝั่งที่เมืองปูซาน เข้ายึดเมืองฮันซอง (กรุงโซลในปัจจุบัน) โดยใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น จากนั้น บุกยึดเมืองเปียงยาง แต่ทางราชวงศ์หมิงของจีน ได้ส่งกองทัพเข้ามาช่วยเกาหลี ทำให้ต้องเจรจาสงบศึก ต่อมา ฮิเดโยชิได้ส่งกองทัพมาบุกเกาหลีอีกครั้งในปี 1597 แต่ครั้งนี้ จีนและเกาหลีได้เตรียมการไว้อย่างดี ทำให้การบุกครั้งไม่สำเร็จอีกครั้ง

ช่วงท้ายของชีวิตฮิเดโยชิ เขาทราบดีว่า ด้วยชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยทำให้เขาไม่ได้เป็นโชกุน เขาจึงวางแผนให้บุตรชายวัย 5 ขวบของเขาขึ้นสืบทอดอำนาจ ด้วยการแต่งตั้ง สภาไทโร ซึ่งประกอบด้วยผู้อาวุโส 5 คน คือ โตกุกาวะ อิเอยาสุ, มาเอดะ โทชิอิเอะ, อุกิตะ ฮิเดอิเอะ, อุเอสึงิ คาเงคัตสึ และ โมริ เทรุโมโตะ เพื่อช่วยบริหารบ้านเมืองและคานอำนาจซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อ ฮิเดโยชิได้เสียชีวิตในปี 1598 ด้วยวัย 61 ปี สภาไทโรก็แตกเป็นสองฝ่าย ในที่สุด โตกุกาวะ อิเอยาสุ ก็รวบอำนาจขึ้นมาเป็นใหญ่แทนทายาทของฮิเดโยชิ

โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้สามารถสร้างตนจนประสบความสำเร็จสูงสุดในแผ่นดิน แม้ว่าจะเกิดมาในตระกูลที่ยากจนและต่ำต้อย ในแง่กลยุทธ์ เขาไม่มีเงินทุนตั้งต้นใดๆเลย มีจุดตั้งต้นแย่กว่าโนบุนากะเสียอีก จำเป็นต้องเริ่มจากการเป็นลูกจ้างของคนอื่น แสดงความรู้ความสามารถจนก้าวขึ้นเป็นผู้นำ อีกทั้งเมื่อขึ้นเป็นใหญ่ ยังสามารถบริหารประเทศจนมีเศรษฐกิจรุ่งเรือง แผ่ขยายอำนาจข้ามทะเลไปเกาะอื่นๆ กล่าวได้ว่าเขาประสบความสำเร็จจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มาจากตระกูลต่ำต้อย อีกทั้งทายาทยังมีอายุน้อยมาก จึงไม่สามารถสืบต่ออำนาจของเขาต่อไปได้

หากเรานำมาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การลงทุน ฮิเดโยชิ เปรียบเสมือนนักลงทุนที่เริ่มจากเงินทุนเป็นศูนย์ แต่เขาไม่ได้ใช้กลยุทธ์กล้าได้กล้าเสียเท่ากับโนบุนากะ เขาค่อยๆสะสมทุนให้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อโอกาสทำกำไรที่มีความเสี่ยงต่ำมาถึง (วันที่โนบุนากะเสียชีวิต) เขาก็ทุ่มทุนที่สะสมมาสุดตัวและพลิกชีวิตขึ้นมาทันที จากนั้น เขาใช้ความได้เปรียบที่ได้มา ขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในประเทศ จึงข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังต่างประเทศ แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จสูงสุดตามที่หวัง แต่พอร์ตในประเทศของเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรนัก ผมคิดว่า นักลงทุนรายย่อยที่มาจากครอบครัวธรรมดา ไม่มีเงินถุงเงินถัง สามารถเรียนรู้ประวัติของฮิเดโยชิแล้วนำมาใช้กับชีวิตของเรา เพื่อที่ว่าจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน

************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
11 กันยายน 2558
************************************************

ข้อมูลจาก หนังสือ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ฉบับสร้างชาติ โดย วีระชัย โชคมุกดา

 

กลยุทธ์ทำให้นกร้องเพลง ของ 3 วีรบุรุษสร้างชาติญี่ปุ่น ตอน 1

คนญี่ปุ่นมีเรื่องเล่ากันว่า หากถามวีรบุรุษผู้รวมชาติญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 16 ทั้งสามท่านว่า มีนกเกาะอยู่ที่กิ่งไม้ เราอยากให้นกร้องเพลงให้เราฟัง เราจะต้องทำอย่างไร

ท่านโอดะ โนบุนะกะ ตอบว่า “ถ้านกไม่ยอมร้องเพลง ข้าจะฆ่ามันให้หมด”
ท่านโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ ตอบว่า “ถ้านกไม่ยอมร้องเพลง ข้าจะสอนให้มันร้องเพลงให้ได้”
ท่านโตกุกาวะ อิเอยาสุ ตอบว่า “ถ้านกไม่ยอมร้องเพลง ข้าจะเฝ้ารอคอยให้มันร้องเพลง”

เรื่องเล่านี้สะท้อนกลยุทธ์ที่แตกต่างกันของทั้งสามท่านที่อยู่ร่วมสมัยกัน และได้สร้างวีรกรรมจนทำให้ญี่ปุ่นสามารถรวมชาติได้ โนบุนากะใช้ความเด็ดขาดปราบปรามเมืองต่างๆจนก้าวขึ้นเป็นใหญ่ ท่านฮิเดโยชิใช้ความสามารถในการวางแผนและปกครองขยายอำนาจไปทั่วญี่ปุ่น แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นท่านอิเอยาสุ ที่เฝ้ารอคอยให้ทั้งสองท่านแรกเสียชีวิตไป แล้วก้าวขึ้นเป็นใหญ่อย่างแท้จริง และตระกูลของท่านก็สืบทอดอำนาจในตำแหน่งโชกุนมาอีกกว่า 250 ปี เราลองมาฟังเรื่องราวของท่านแรกกันดีกว่า

Odanobunagaโอดะ โนบุนากะ เกิดเมื่อ 23 มิ.ย. ค.ศ. 1534 พ่อของเขาเป็นไดเมียว เจ้าแคว้นโอวาริ แคว้นเล็กๆในตอนกลางเกาะฮอนชู เขาเป็นคนมุทะลุ เอาแต่ใจตนเอง จนได้ฉายาว่า “ควายแห่งโอวาริ” เมื่อเขาอายุได้ 17 ปี พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง ด้วยความเป็นลูกชายคนโต เขาจึงขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวและไดเมียวแทนพ่อของเขา แต่ในงานศพของพ่อ เขากลับก่อเรื่องทะเลาะอาละวาดกลางงาน ทำให้อาจารย์ของเขาต้องทำเซ็ปปุกุ (ฆ่าตัวตายด้วยการคว้านท้อง) เพื่อชดใช้ความผิดที่สั่งสอนศิษย์ได้ไม่ดี ด้วยความที่เขาขึ้นเป็นไดเมียวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังมีชื่อเสียงไม่ดี ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับในหมู่ญาติพี่น้องและบริวาร มีการวางแผนฆ่าเขาหลายครั้ง แต่โนบุนากะรู้ก่อนและจึงได้ชิงลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่ต่อต้านคนสำคัญคนหนึ่งคือ น้องชายของเขาเอง โอดะ โนบูยูกิ ได้ก่อกบฏขึ้น เขาเอาชนะน้องชายได้ แต่แม่ของเขาขอร้องให้ไว้ชีวิตน้อง เขาจึงปล่อยไป ต่อมา โนบูยูกิได้วางแผนกบฏอีกครั้ง คราวนี้โนบุนากะได้ปล่อยข่าวว่าล้มป่วย หลอกให้น้องชายเข้ามาเยี่ยมจึงถูกสังหาร หลังเหตุการณ์นี้ โนบุนากะได้ส่งทหารเข้าไปยึดอำนาจจากผู้คิดกบฏทั้งหมด เขาจึงสามารถรวมอำนาจในแคว้นได้อย่างมั่นคงเมื่อปี 1559

ต่อมา อิมางาวะ โตชิโมโตะ ไดเมียวแห่งแคว้นมิคาวา ผู้คิดการใหญ่นำทัพ 25,000 คนจะไปทำสงครามกับเกียวโต โดยผ่านมาทางแคว้นโอวาริ ของโนบุนากะ ซึ่งมีทหารเพียง 2,000 กว่าคนเท่านั้น แทนที่โนบุนากะจะอ่อนน้อมต่ออิมางาวะ และให้ยกทัพผ่านไปโดยดี โนบุนากะกลับนำทัพเพียง 2,000 กว่าคนเข้าต่อสู้ ด้วยความชำนาญในภูมิประเทศ และการส่งกองกำลังเฉพาะกิจเข้าจู่โจมอิมางาวะขณะเกิดพายุฝน จนสามารถตัดศีรษะอิมางาวะได้ ทัพของโอบุนากะจึงเอาชนะทัพจากแคว้นมิคาวาสำเร็จ ชัยชนะครั้งนี้สร้างชื่อเสียงให้กับโนบุนากะโด่งดังไปทั่วประเทศ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเขาและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น มีคนเข้ามาสวามิภักดิ์กับเขาจำนวนมาก ศัตรูก็เปลี่ยนมาเป็นมิตร แม้กระทั่ง โตกุกาวะ อิเอยาสุ ก็เข้ามาอยู่ฝ่ายเขาด้วย

โนบุนากะ ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้ปรับปรุงกองทัพของเขาใหม่ ด้วยเหตุว่าแคว้นของเขาเป็นแคว้นเล็ก มีซามูไรน้อย เขาจึงนำชาวนามาเป็นทหาร แต่ทหารชาวนามีฝีมือรบด้อยกว่าชนชั้นซามูไรมาก เขาจึงพัฒนาหอกขึ้นมาเป็นอาวุธประจำตัวของทหาร แทนที่ดาบซามูไร เพราะว่าในสนามรบ หอกมีประสิทธิภาพในการรบเหนือกว่าดาบ หลายครั้งสามารถเอาชนะนับรบซามูไรที่ชำนาญดาบได้ นอกจากนั้น เขายังเอา ปืนคาบศิลา มาใช้ในกองทัพ โดยไม่สนการถูกปรามาสว่าเอาอาวุธของคนขี้ขลาดมาใช้ ทั้งหมดนี้ทำให้กองทัพของโนบุนากะกลายเป็นกองทัพที่เข้มแข็งเป็นที่เลื่องลือ

ระหว่างนั้น โนบุนากะขยายอำนาจด้วยการเสนอลูกสาวหรือน้องสาวให้ไปแต่งงานกับเจ้าแคว้นรอบข้าง ใครไม่ยอมรับข้อเสนอ เขาก็จะยกทัพไปโจมตี ชื่อเสียงของโนบุนากะโด่งดังไปถึงองค์จักรพรรดิที่เกียวโต จักรพรรดิจึงส่งพระราชสาส์นขอความช่วยเหลือต่อโนบุนากะ ให้ช่วยกอบกู้อำนาจจากโชกุนคืนมายังพระองค์ ขณะเดียวกันโชกุนก็ส่งหนังสือมาขอความช่วยเหลือจากเขาเช่นกัน เขาจึงมองว่า ตัวเขาเองได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นผู้ปกป้องประเทศญี่ปุ่น เขาจึงจัดทำตรายางประจำตัวของเขาขึ้นมา มีข้อความว่า “ปกครองจักรวรรดิด้วยพละกำลัง” จากนั้น โนบุนากะ ได้ยกทัพมายังเมืองหลวงเกียวโต แต่งตั้งโชกุนหุ่นเชิดของเขาขึ้นมา พร้อมปราบปรามเมืองที่แข็งข้อ ด้วยความดีความชอบนี้ จักรพรรดิได้แต่งตั้งเขาเป็น ไนไดจิน หรือ อัครมหาเสนาบดี เขาจึงก้าวเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงในญี่ปุ่น

Azuchimomoyama-japan
อาณาเขตภายใต้การปกครองของโอดะ โนบุนากะ เมื่อถึงแก่กรรม ค.ศ. 1582

อย่างไรก็ตาม ผู้ต่อต้านเขายังคงมีอยู่จำนวนมาก หนึ่งในศัตรูสำคัญของโนบุนากะก็คือ พระนักรบในศาสนาพุทธ ที่มีอิทธิพลสูงมากในญี่ปุ่น ส่วนโนบุนากะเองนั้น ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ จึงได้เข้าปราบปรามพระนักรบเหล่านั้นด้วยความโหดเหี้ยม การกวาดล้างครั้งใหญ่คือ การที่เขานำทหาร 30,000 คนเข้าล้อมภูเขาฮิเออัน เขาศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธญี่ปุ่น แล้วเผาวัด ฆ่าทุกคนที่ถูกพบเห็น ไม่ว่าจะเป็น พระ สตรี และเด็ก และอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เขาสร้างกำแพงล้อมชาวพุทธที่ตั้งมั่นอยู่ทางตะวันออกของเกาะฮอนชู แล้วจุดไฟเผาฆ่า 20,000 ชีวิตในนั้น

ในปี 1582 โนบุนากะได้นำทัพไปทำสงครามที่คิวชู ระหว่างทาง อาเคชิ มิตสึฮิเดะ ลูกน้องของเขา ได้วางแผนนำกองกำลังย้อนกลับมาล้อมโนบุนากะซึ่งขณะนั้นมีทหารคุ้มกันไม่มาก ไม่สามารถต้านทานได้ โนบุนากะตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการคว้านท้อง หรือเซ็ปปุกุ ปิดชีวิตนักรบผู้ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีแห่งซามูไร อย่างไรก็ตาม ผู้สืบทอดอำนาจของเขากลับไม่ใช่ลูกชายของเขา แต่กลายเป็น โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ ขุนพลคนสนิทของเขาแทน

หากให้สรุปบทเรียนจากเรื่องราวของโนบุนากะในด้านกลยุทธ์ จะได้ข้อคิดว่า โนบุนากะเติบโตจากตระกูลที่มีอำนาจไม่มากนัก เขาจึงต้องใช้กลยุทธ์บุกตะลุยไปข้างหน้า ไม่เว้นทางถอย เพราะไม่มีทรัพยากรเหลือพอให้ถอย เขาไม่สนใจแบบแผนดั้งเดิม เพราะนั่นจะทำให้เขาสู้กับผู้มีอำนาจในขณะนั้นไม่ได้ เขาต้องคิดหาแนวทางใหม่ๆเพื่อให้เขาได้เปรียบคนอื่น เช่น นำชาวนามาเป็นทหาร ใช้หอกยาวแทนดาบ นำปืนมาใช้การต่อสู้ เป็นต้น กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของเขาเป็นหลัก แต่เขาไม่สามารถสร้างทายาทขึ้นมาสืบต่อได้ทันและเพียงพอ ทำให้เมื่อเขาพลาดท่าเสียที ตระกูลของเขาก็เสื่อมอำนาจลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากเรานำมาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การลงทุน โนบุนากะก็เหมือนกับนักลงทุนที่ไม่ได้มีเงินทุนตั้งต้นมากมายนัก เขาต้องใช้กลยุทธ์ทุ่มหมดหน้าตัก ถ้ามีโอกาสก็ใช้มาร์จิ้นเต็มที่ เมื่อเขาชนะ ผลตอบแทนจึงมากมายทวีคูณ เขาไม่เลือกเล่นหุ้นแบบมาตรฐาน แต่หาแนวทางใหม่ๆเพื่อเทรดสร้างผลตอบแทนให้เร็วและสูงที่สุด อย่างไรก็ตาม ด้วยกลยุทธ์ทุ่มสุดตัวเช่นนี้ เมื่อเขาพลาด สิ่งที่เขาสร้างมาก็ต้องสูญไปเกือบทั้งหมดเช่นกัน

************************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
8 กันยายน 2558
************************************************

ข้อมูลจาก หนังสือ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดย วีระชัย โชคมุกดา