ที่สวนสาธารณะอุเอะโนะ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจร่มรื่นกลางกรุงโตเกียว ในช่วงปลายมีนาคมถึงต้นเมษายนของทุกปี ถือเป็นจุดชมซากุระที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง ผู้คนต่างพากันมาชมความงามของซากุระ บ้างก็มานั่งปิกนิกชมน้ำพุท่ามกลางดอกไม้ บ้างก็มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่มีถึง 5 แห่งในสวนแห่งนี้ บ้างก็มาสักการะศาลตระกูลโตกุกะวะ บ้างก็มาออกกำลังกาย
แต่จะมีใครกี่คนทราบว่า ที่สวนแห่งนี้เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1868 (พ.ศ.2411) หรือ 150 กว่าปีก่อน เคยเป็นสมรภูมินองเลือดระหว่างทหารฝ่ายสมเด็จพระจักรพรรดิ กับทหารฝ่ายโชกุน เรียกว่า สมรภูมิอุเอะโนะ (Battle of Ueno) โดยมีหลักฐานให้เห็นในปัจจุบันอยู่ตรงทางใต้ของสวนแห่งนี้ เป็นอนุสรณ์สถานของบุคคลสำคัญและกองทหารชื่อดังในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นอยู่เคียงข้างกัน
อนุสรณ์สถานแห่งแรก คือ อนุสาวรีย์ไซโง ทาคาโมริ ซามูไรแห่งแคว้นซัตสุมะ ผู้นำขบวนการฟื้นฟูพระราชอำนาจกลับไปให้สมเด็จพระจักรพรรดิ ท่านเป็นซามูไรที่โดดเด่นระดับตำนาน จนภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดังเรื่อง The Last Samurai ก็นำเอาบุคลิกของท่านไซโง ไปเป็นตัวเอกในเรื่อง สำหรับสมรภูมิอุเอะโนนั้น ไซโงเป็นผู้นำกองกำลังฝ่ายสนับสนุนจักรพรรดิเข้าต่อสู้กับฝ่ายโชกุน โดยมีจำนวนทหารราวพันกว่าคน น้อยกว่าฝ่ายโชกุน แต่มียุทโธปกรณ์ทันสมัยกว่า
อนุสรณ์สถานที่อยู่ใกล้กันคือ สุสานของนักรบโชงิไต กองทหารฝ่ายสนับสนุนโชกุน ในสมรภูมิอุเอะโนะครั้งนั้น กลุ่มนักรบโชงิไต มีจำนวนราว 2,000 คน รวมกำลังคอยปกป้องอดีตโชกุนโยชิโนบุ โตกุกาวะ ที่ขังตัวเองไว้ที่วัดคันเอจิ อุเอะโนะ วัดที่มีเจ้าอาวาสคือองค์ชายคิตะชิราคาวะ โยชิฮิสะ ผู้ซึ่งต่อมาถูกแต่งตั้งเป็นจักรพรรดิโทบุแห่งราชสำนักเหนือโดยกลุ่มสนับสนุนโชกุนทางภาคเหนือในภายหลัง นั่นเอง
ในเวลานั้น ฝ่ายจักรพรรดิได้ยึดครองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) ไว้ได้แล้ว ซึ่งเป็นผลจากการเจรจากับทางกลุ่มโชกุน และโชกุนโยชิโนบุได้ยอมสละเอโดะเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามใหญ่ โดยได้ขังตัวเองในวัดคันเอจิ แต่เมืองเอโดะยังไม่สงบเพราะกลุ่มโชงิไตยังคอยก่อกวนสร้างสถานการณ์ความไม่สงบอยู่เสมอ
วันที่ 4 กรฎาคม 1868 ไซโง นำทัพฝ่ายจักรพรรดิ จำนวน 1,000 กว่าคน บุกวัดคันเอจิ ที่มีทหารโชงิไต จำนวน 2,000 คน ซึ่งผิดหลักพิชัยสงครามอย่างยิ่ง เพราะตามหลักแล้ว หากจะโจมตีฝ่ายตรงข้าม ต้องมีทหารอย่างน้อย 2 เท่าของฝ่ายตั้งรับ ในช่วงแรก ไซโงนำทหารบุกโจมตีทางประตูหน้า แต่เสียเปรียบเพราะฝ่ายโชงิไตที่ตั้งรับมีทหารมากกว่า ขณะที่ไซโงกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ ทหารแคว้นโชชู ที่อยู่ฝ่ายจักรพรรดิ ก็เข้าโจมตีทางด้านหลัง ทำให้ฝ่ายบุกเริ่มพลิกสถานการณ์ ตามมาด้วย ทหารแคว้นโทสะ ฝ่ายจักรพรรดิ ใช้ปืนใหญ่และปืนไรเฟิลยาวยิงโจมตี สร้างความเสียหายต่อนักรบโชงิไตอย่างมาก ในที่สุด ทหารฝ่ายจักรพรรดิจึงได้รับชัยชนะ
ผลของสมรภูมิอุเอะโนะ ทำให้นักรบโชงิไต ตายไป 300 คน วัดคันเอจิถูกเผาราบลงไป บ้านเรือนใกล้เคียงถูกทำลายไปพันกว่าหลัง องค์ชายคิตะชิราคาวะ เจ้าอาวาสวัดคันเอจิ และนักรบโชงิไตที่มีชีวิตรอด หลบหนีออกจากเอโดะไปได้ ส่วนโชกุนโยชิโนบุ ไม่ได้หลบหนีไปไหน ได้ยอมแพ้ต่อฝ่ายจักรพรรดิแต่โดยดี และเมื่อฝ่ายจักรพรรดิได้ยึดครองเมืองเอโดะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สมเด็จพระจักรพรรดิจึงย้ายเมืองหลวงจาก เกียวโต มายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเป็น กรุงโตเกียว ที่แปลว่า ราชธานีตะวันออก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สมรภูมิอุเอะโนะ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สงครามยุคใหม่ ไม่ได้วัดกันที่จำนวนทหารแต่อย่างเดียวแล้ว แต่อาวุธที่ทันสมัย เป็นปัจจัยชี้ขาดที่สำคัญกว่า และกลายเป็นธงนำของกองทัพญี่ปุ่นในยุคนั้น ที่มีการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ขนานใหญ่ จนกลายเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชียตะวันออก เอาชนะจีนในยุคราชวงศ์ชิง ชนะรัสเซียของพระเจ้าซาร์ เข้ายึดครองเกาหลี และนำไปสู่สงครามโลกมหาเอเชียบูรพาในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นจุดจบของแสนยานุภาพทางทหารอันเกรียงไกรของญี่ปุ่น
************************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
31 มีนาคม 2019
************************************