บก.ขอเล่า : จิตวิทยาว่าด้วยเงิน (The Psychology of Money)

เมื่อเราพูดถึงเรื่องการเงินแล้ว คนส่วนใหญ่มักคิดว่า คนที่มีความรู้มากกว่าจะประสบความสำเร็จเรื่องการเงินมากกว่าคนที่รู้น้อยกว่า แต่ในโลกความเป็นจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะเวลาคนเราตัดสินใจในเรื่องเงิน เราไม่ได้ตัดสินใจด้วยความรู้อย่างเดียว แต่เราใช้อารมณ์ความรู้สึกเข้ามาตัดสินใจด้วย ทำนองด้วยกับที่เรารู้ว่า คนไอคิวสูงไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในชีวิต หากเขาไม่มีอีคิว ความฉลาดทางอารมณ์ มากำกับด้วย

เมื่อกลางปี 2020 ท่ามกลางการระบาดของโควิดระลอกแรก ผมได้อ่านหนังสือ จิตวิทยาว่าด้วยเงิน The Psychology of Money โดย มอร์แกน เฮาเซิล ตอนนั้นหนังสือฉบับอังกฤษยังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่ทางตัวแทนหนังสือได้ส่งมาให้อ่านก่อน เพียงแค่อ่านบทนำ โค้ชหนุ่มกับผมก็ตัดสินใจขอซื้อลิขสิทธิ์มาแปลทันที บทนำของเล่มนี้มีชื่อว่า “การเผยให้เห็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลก” ผู้เขียนเล่าเรื่องของ ริชาร์ด ฟัสโคน ผู้จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และจบโท MBA ทำงานเป็นผู้บริหาร Merrill Lynch ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานสูง แต่เมื่อเจอวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 เขาก็ต้องล้มละลาย กับ อีกคน โรนัลด์ รี้ด ผู้ทำงานซ่อมรถ และเป็นภารโรงมาตลอดชีวิต โรนัลด์ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเสียชีวิตในวัย 92 ปี ที่น่าประหลาดใจคือ เขามีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ถึง 8 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 260 ล้านบาท (เขาทำพินัยกรรมไว้ว่า ให้ลูกเลี้ยง 2 ล้านดอลลาร์ ส่วนอีก 6 ล้านดอลลาร์ มอบให้กับโรงพยาบาลและห้องสมุดท้องถิ่น)

โรนัลด์ รี้ด ไม่เคยถูกล็อตเตอรี่ ไม่เคยได้รับมรดกก้อนโต แต่เขาออมเงินจากอาชีพภารโรง และลงทุนในหุ้น จากนั้นก็รอคอยให้เงินทำงานจนมีมูลค่ามากกว่า 8 ล้านดอลลาร์

นี่คือตัวอย่างจริงที่แสดงให้เห็นว่า ในเรื่องของเงินแล้ว ภารโรงผู้ไม่ได้เรียนจบสูง ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่การงานพิเศษ สามารถเอาชนะผู้บริหารสถาบันการเงินที่จบจากมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลกได้ ดังนั้น เมื่อมาถึงเรื่องเงินแล้ว ความรู้ไม่ได้ทำให้ประสบความสำเร็จเสมอไป รู้อะไรไม่สำคัญเท่าทำอย่างไร และการตัดสินใจลงมือทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่สอนกันได้ยากยิ่ง

แม้จะสอนกันยาก แต่หากรู้ก่อน เราก็อาจมีสติกำกับไม่ให้พลาดได้ ดังนั้น การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ที่ผู้เขียนได้สรุปเรื่องสำคัญ 20 ข้อที่ทำให้เกิดพฤติกรรมทางการเงินที่ไม่ดี แล้วเรียกรวมกันว่า จิตวิทยาว่าด้วยเงิน ก็สามารถช่วยให้เราระมัดระวังไม่ให้ทำผิดพลาดเกี่ยวกับเงินได้

กลับมาเรื่องซื้อลิขสิทธิ์ แม้ว่าเราจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วที่จะซื้อ แต่ก็มีสำนักพิมพ์อื่นในไทยสนใจเช่นกัน เราจึงต้องสู้ราคา และในที่สุดเราก็ได้ลิขสิทธิ์มา โค้ชหนุ่มก็ได้เลือก หม่อน ธนิน ผู้ทำงานด้านการเงินอยู่แล้ว และเคยมีประสบการณ์การแปลหนังสือซีรีย์ Rich Dad มาหลายเล่ม มาแปลเล่มนี้ เพราะเชื่อว่า สามารถถ่ายทอดเนื้อหามาเป็นภาษาไทยได้อย่างครบถ้วนและกลมกล่อม 

หลังจากหนังสือเล่มนี้ในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ วางแผง ก็ติดอันดับหนังสือขายดีทันที เมื่อมาในไทย ก็ติดอันดับหนังสือขายดีทั้งคิโนะคุนิยะ และเอเชียบุ๊คส์ ขายดียาวนานข้ามปี จนถึงวันนี้ก็ยังขายดีอยู่ 

หน้าปกหนังสือ เราตัดสินใจใช้รูปเดียวกับปกฉบับอังกฤษ เพราะเราเชื่อว่า มีนักอ่านที่สนใจเล่มนี้ แต่อยากอ่านภาษาไทย รอคอยอยู่จำนวนมาก ถ้าหน้าปกทำนองเดียวกัน ก็น่าจะช่วยให้หาเล่มนี้เจอง่ายขึ้น โทนสีปกก็เป็นโทนเดียวกับเมืองนอก คือสีเขียว เข้าใจว่า มาจากสีธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาไทย ผมก็คิดว่า ตรงกับคำว่า เขียวเหนี่ยวทรัพย์ ที่กำลังนิยมในบ้านเราพอดี

หนังสือเล่มนี้มีขนาดกำลังดีครับ 272 หน้า อ่านได้เพลิน ๆ ไม่เครียด เพราะผู้เขียนใช้วิธีเล่าเรื่องในการอธิบายประเด็นต่าง ๆ ทำให้อ่านได้ลื่นไหล เรื่องที่เล่าก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องเกี่ยวกับการเงิน แต่ยังมีเรื่องอื่นอีก เช่น เรื่องของชายผู้ซึ่งพยายามรักษาโรคซิฟิลิสด้วยไข้มาลาเรีย มาอธิบายเรื่องการตั้งเป้าแบบสมเหตุสมผลแทนที่จะยึดเหตุผล เป็นต้น

ผมขอสรุปปิดท้ายคุณภาพของหนังสือเล่มนี้ ด้วยคำของ The Wall Street Journal ที่เขียนไว้ว่า “หนึ่งในหนังสือการเงินที่ดีที่สุดและสดใหม่ที่สุดในรอบหลายปี”

เล่มนี้พลาดไม่ได้จริง ๆ ครับ

ช่วงนี้ กำลังเปิด พรีออเดอร์หนังสือ “The Psychology of Money จิตวิทยาว่าด้วยเงิน” เริ่มจัดส่งหนังสือ 29 มี.ค. 65 สั่งจองได้ที่:

เว็บไซต์ ➡️ https://bit.ly/3vsPacb

LINE ➡️ https://bit.ly/3vnro1f

******************************
เขียนโดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
1 มีนาคม 2022
******************************

บก.ขอเล่า : หนังสือ “คุณหมอจะบอกให้ ดื่มยังไงไม่ให้พัง”

ปกหนังสือ “คุณหมอจะบอกให้ ดื่มยังไงไม่ให้พัง”

ที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ เริ่มเมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมได้คุยกับทางสำนักพิมพ์นิกเกอิ บิสสิเนส สำนักพิมพ์ชั้นนำของญี่ปุ่นที่เน้นหนังสือด้านธุรกิจเหมือนเรา เขาออกหนังสือเล่มกว่า 500 ปกต่อปี แต่เขาก็คัดส่งมาให้เราเลือกราวๆ 70-80 ปก ตอนแรกผมกะจะเลือกหนังสือด้านธุรกิจมาแปล แต่ไป ๆ มา ๆ เรากลับสนใจหนังสือที่เขาใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Learn from the doctors : The tips of drinking for health

ในแค็ตตาล็อกหนังสือ เขาเขียนแนะนำเล่มนี้ว่า “การดื่มแอลกอฮอล์นั้นดีต่อสุขภาพหากคุณสามารถควบคุมปริมาณการดื่มได้ แต่เราต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งคุณอายุมากขึ้น ผลของอาการแฮงก์โอเวอร์, น้ำหนักตัวเพิ่ม และเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วยเมื่อคุณดื่มเยอะเกินไป หนังสือเล่มนี้ได้ไปสัมภาษณ์คุณหมอที่ชอบดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน พวกเขาจะบอกคุณว่า คุณสามาถดื่มโดยเลี่ยงผลข้างเคียงจากแอลกอฮอล์ได้อย่างไร”

เมื่อไปปรึกษานักแปลของเรา คุณหนิง ปิยะวรรณ ก็ได้คำตอบเดียวกันว่า สนใจอยากแปลเล่มนี้ เราจึงเดินหน้าซื้อลิขสิทธิ์เล่มนี้มาแปล ระหว่างนั้น ทางญี่ปุ่นก็ส่งข่าวสารมาว่า หนังสือเล่มนี้ขายดีมาก จนพิมพ์ไปแล้ว 10 ครั้ง ยอดพิมพ์กว่า 65,000 เล่ม หวังว่าเมืองไทยจะขายดีเช่นกัน ฟังแล้ว ก็นึกในใจว่า พวกเราก็หวังเช่นนั้นครับ แค่ขายได้เกิน 5,000 เล่ม ก็ดีใจแล้วครับ 😅

ปกเล่มญี่ปุ่น 酒好き医師が教える最高の飲み方
ปกเล่มอังกฤษ ใช้ชื่อว่า The Japanese Guide to Healthy Drinking

เมื่อแปลเสร็จ มาถึงขั้นตอนการทำปก ก็คิดอยู่นาน เพราะปกญี่ปุ่น เป็นรูปหน้าร้านอาหารนั่งดื่มแบบเบลอ ๆ ดูไม่ชัดเจน ส่วนปกอังกฤษ ก็เป็นรูปขวดสาเกสีดำ พื้นขาว สไตล์มินิมัล พอของเรา เลยคิดเอารูปแบบสาเกเป็นไอเดีย ให้รู้ว่ามาจากญี่ปุ่น ดีไซน์เนอร์ของเรารับโจทย์ไปแล้วกลับมาด้วยไอเดีย ขวดสาเก และแก้วสาเก น่ารัก บางแก้วหน้าแดงกรึ่มนิดนึง กอง บก. เราชอบปกนี้ทันที

ปกภาษาจีน

ส่วนชื่อหนังสือ ก็เป็นโจทย์ยาก เพราะชื่ออังกฤษของเล่มนี้คือ Learn from the doctors : The tips of drinking for health เราจะตั้งชื่อหนังสือยังไงไม่ให้ดูวิชาการเกินไป ไม่ให้ดูขี้เมาเกินไป กอง บก. เราคิดกันมากมายหลายชื่อ ในที่สุดก็ได้ชื่อว่า “คุณหมอจะบอกให้ ดื่มยังไงไม่ให้พัง” ตามด้วยคำโปรยว่า “เคล็ดลับการดื่มที่ถูกต้อง จากคุณหมอชาวญี่ปุ่น เพื่อให้การดื่มครั้งต่อไปของคุณ ไม่อ้วน ไม่ป่วย และไม่แฮงก์”

หนังสือเล่มนี้ เขียนโดย คุณ​ คาโอริ ฮาอิชิ อาชีพเธอในภาษาอังกฤษคือ Sake Journalist นักเขียนเรื่องสุรา และมีตำแหน่งเป็น นายกสมาคมสาเกญี่ปุ่น เธอเป็นคนชอบการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แต่มีคำถามว่า ดื่มอย่างไรถึงจะไม่เสียสุขภาพ เธอจึงไปถามคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างคำถามที่น่าสนใจในเล่มนี้ เช่น

  • ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงอาการเมาค้างได้
  • ทำไมบางคนดื่มแล้วหน้าแดง บางคนหน้าไม่เปลี่ยนสี
  • ดื่มน้ำแล้วอิ่มเร็ว แต่ทำไมดื่มเบียร์ได้เยอะ
  • ดื่มเหล้าบนเครื่องบินอันตรายหรือเปล่า
  • จริงหรือเปล่าที่ “ยิ่งฝึก ยิ่งคอแข็ง”
  • วิธีดื่มสำหรับผู้หญิง ในช่วงก่อนมีประจำเดือน, ระหว่างมีประจำเดือน, วัยหมดประจำเดือน
  • ทำไมไวน์แดงจึงดีต่อสุขภาพ
  • ฯลฯ
    คุณหมอ ดร. ชินอิจิ อาซาเบะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องตับ เป็นผู้ตรวจทานและให้ข้อมูล รวมถึงคุณหมออีก 20 ท่าน เภสัชกร 1 ท่าน และนักวิจัย 2 ท่าน เป็นผู้ให้ข้อมูล ทำให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ยกเมฆโดยปราศจากข้อมูลทางวิชาการสนับสนุน

สำนักพิมพ์ลีฟริช จึงมีความภูมิใจที่จะนำเสนอหนังสือเล่มนี้ต่อทุกท่านที่ชอบดื่ม คำแนะนำในเล่มนี้มาจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ ที่ไม่ได้รังเกียจการดื่ม แต่ให้ความรู้ที่ถูกต้อง จึงขอฝากผลงานเล่มนี้ต่อทุกท่านด้วยนะครับ

สนใจหนังสือเล่มนี้ สั่งซื้อได้ที่ https://www.liverich.co.th/product/drinking-tips/ หรือซื้อได้ตามหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

******************************
เขียนโดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
18 เมษายน 2021
******************************

บก.ขอเล่า : หนังสือ ชีวประวัติ เจอร์เก้น คล็อปป์ JÜRGEN KLOPP DIE BIOGRAFIE

เมื่อตอนสิ้นปี 2019 ผมได้ไปดูบอลที่สนามแอนฟิลด์ ในนัดที่ลิเวอร์พูล พบกับ วูล์ฟฯ ก่อนบอลจะเริ่มแข่ง ครอบครัวเราได้ไปซื้อสินค้าที่ระลึกในร้านค้าสโมสร ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของสนาม ตรงมุมหนังสือ มีหนังสือวางขายอยู่หลายเล่มไม่ว่าจะเป็น ชีวประวัติสตีเฟน เจอร์ราร์ด, เจมส์ มิลเนอร์, เส้นทางสู่แชมป์ยุโรป แต่เล่มที่สะดุดตาผมมากที่สุดคือ เล่ม Jurgen Klopp The Biography เขียนโดย Elmar Neveling ในใจผมคิดว่า ถ้าเล่มนี้วางจำหน่ายอยู่ในร้านค้าสโมสร ก็น่าจะอนุมานได้ว่า เป็นหนังสือชีวประวัติของคล็อปป์ที่น่าเชื่อถือ ไม่อย่างนั้นสโมสรก็คงไม่ยอมให้มาขาย โดยเฉพาะทีมบริหารสโมสรชุดนี้ถือว่าเป็นทีมที่มีความเป็นมืออาชีพมากๆ เขาคงต้องคัดเลือกมาอย่างดีถึงจัดให้วางจำหน่ายในร้าน

หนังสือ ชีวประวัติ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ร้านสโมสรลิเวอร์พูล ในแอนฟิลด์

ผมซื้อเล่มนี้กลับมาอ่าน ระหว่างอ่านก็พบว่า เป็นหนังสือที่อ่านสนุก มีข้อมูลน่ารู้มากมายที่ผมไม่รู้มาก่อน ตอนนั้นตัดสินใจว่า กลับถึงไทยเมื่อไหร่ จะรีบติดต่อเจ้าของลิขสิทธิ์เพื่อขอแปลเป็นไทยทันที หวังว่ายังไม่มีใครซื้อลิขสิทธิ์แปลไทยมาก่อน

เมื่อติดต่อไปที่สำนักพิมพ์ในอังกฤษที่จัดพิมพ์เล่มนี้ ก็ได้ข้อมูลว่า ผู้ดูแลลิขสิทธิ์เล่มนี้ที่แท้จริงคือ สำนักพิมพ์ในเยอรมัน เพราะ Elmar Neveling ผู้เขียนเล่มนี้ แกเป็นคนเยอรมัน ที่เป็นแฟนบอลดอร์ตมุนต์ ตอนที่คล็อปป์ทำทีมดอร์ตมุนด์ได้แชมป์บุนเดสลีกาในฤดูกาล 2010-11 แกเลยเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา จากนั้นก็ปรับปรุงอีกหลายครั้งตามความสำเร็จในชีวิตโค้ชของคล็อปป์ เล่มที่ผมซื้อจากลิเวอร์พูลเป็นเล่มแปลจากเยอรมันเป็นอังกฤษ เวอร์ชั่นหลังจากที่คล็อปป์พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 6 สำเร็จ

เราก็ตามต่อไปที่สำนักพิมพ์เยอรมัน ทางนั้นก็ตอบกลับมาว่า เขาเชื่อว่าคล็อปป์จะพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 2019-20 ทางผู้เขียนกำลังปรับปรุงเนื้อหาอยู่ โดยจะรอปิดเล่มหลังจากลิเวอร์พูลคว้าแชมป์อย่างเป็นทางการ เขาจึงถามเราว่า เราจะรอเล่มปรับปรุงหลังลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือเปล่า ผมก็ตอบไปทันทีว่า แน่นอน เราอยากแปลจากเวอร์ชั่นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เขาเลยแนะนำต่อว่า ถ้าอย่างนั้น อยากให้เราแปลจากภาษาเยอรมันโดยตรง จะได้ไม่ต้องรอให้สำนักพิมพ์ในอังกฤษแปลจากเยอรมันเป็นอังกฤษ แล้วเราถึงจะได้แปลจากอังกฤษเป็นไทยอีกที ซึ่งจะล่าช้าไปมาก อีกทั้งเนื้อหาเล่มอังกฤษก็มีความแตกต่างจากเยอรมันอยู่บ้าน จากการที่ปรับเป็นสำนวนอังกฤษไปแล้ว เขายืนยันว่า อยากให้เราแปลตรงจากเยอรมันดีกว่า

เอาล่ะสิ สำนักพิมพ์เรายังไม่เคยแปลภาษาเยอรมันเสียด้วย แต่เหตุผลที่เขาบอกเรามาก็มีน้ำหนั กมาก จะรอแปลสองทอดทำไมให้เนื้อหามันตกหล่นไป และกว่าเล่มอังกฤษจะออกก็สิ้นปี 2020 เราเอาแปลไทยต่อก็น่าจะได้พิมพ์จำหน่ายตอนกลางปี 2021 จึงตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ตรงจากเล่มเยอรมันเลย ไม่รอเล่มอังกฤษแล้ว

จบเรื่องลิขสิทธิ์ไป มาต่อกันเรื่องคนแปล ผมเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลจึงทราบดีว่า เดอะค็อปอย่างเราซีเรียสเรื่องคุณภาพการแปลแค่ไหน เคยมีหนังสือแปลประวัติคล็อปป์อีกเล่มที่ผู้เขียนเป็นคนละคนกับ Elmar Neveling (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อหนังสือเล่มนั้น) ซึ่งมีปัญหาการแปลมากๆ เพราะคนแปลไม่เข้าใจเรื่องฟุตบอล ทำให้ถูกวิจารณ์หนักมากจนสำนักพิมพ์นั้นต้องเก็บหนังสือไป ไม่ได้วางขายอีก ผมจึงตั้งใจว่า เล่มนี้ของเราจะต้องแปลให้ดีที่สุด ตอนที่สำนักพิมพ์ลีฟริชได้เล่ม The Mixer กับ Zonal Marking ของ Michael Cox มา ตอนนั้นผมได้ติดต่อคุณวิศรุต แห่งเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง มาแปลให้ เพราะเชื่อในคุณภาพและสำนวนการแปลของคุณวิศรุต แต่เล่มนี้เป็นภาษาเยอรมัน คุณวิศรุตไม่ถนัดภาษาเยอรมัน ผมจึงต้องหาคนแปลคนอื่น ต้องค้นหาอยู่พักใหญ่ ในที่สุด ผมก็ติดต่อน้องที่เคยทำงานแปลข่าวฟุตบอลจากสื่อเยอรมันให้กับช่อง 3 คือคุณบี จากนั้นคุณบี ก็ได้แนะนำ คุณแผน สมปรารถนา มาช่วยแปล หลังจากคุณแผนได้ทดลองแปลมาให้เราอ่านแล้ว เราก็มั่นใจว่า คุณภาพงานแปลดีแน่นอน

แม้ว่าเราอยากเริ่มงานแปลให้เร็วที่สุด แต่โควิดก็ทำให้บอลพรีเมียร์หยุดแข่งไป 3 เดือน กว่าจะมาแข่งอีกทีก็เดือนมิถุนายน และกว่าลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์อย่างแน่นอน ก็คืนวันที่ 25 มิถุนายน หลังจากนั้นเราก็รอต้นฉบับเยอรมัน แล้วก็รีบแปลอย่างรวดเร็ว แต่การแปลเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งจากโครงสร้างสำนวนภาษาเยอรมันที่ต้องปรับมาเป็นภาษาไทย และจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล จึงต้องใช้เวลาตรวจทานก็พอสมควร ระหว่างทำอาร์ตเวิร์กก็ยังตรวจทานก็อีกหลายรอบเพื่อให้คุณภาพออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนทำให้ต้องเลื่อนการจัดพิมพ์จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะขายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ เดือนตุลาที่ผ่านมา ก็ต้องเลื่อนมาเปิดพรีออเดอร์กันช่วงปีใหม่ และจะเริ่มจัดส่งได้ตั้งแต่ 19 ม.ค.เป็นต้นไป

การออกแบบปก ก็เป็นเรื่องสำคัญ วันที่ลิเวอร์พูลรับถ้วยแชมป์ เป็นวันที่ทีมงาน บก.สำนักพิมพ์ลีฟริช (ที่บางท่านก็เป็นแฟนแมนยู ต้องกล้ำกลืนดูการรับถ้วยแชมป์ของเราด้วย) จ้องดูว่า มีจังหวะไหนที่คล็อปป์จะชูถ้วยสวยๆ ให้เรานำรูปมาใช้เป็นปกได้ เชื่อหรือไม่ว่าไม่มีรูปที่ว่าเลย เจอร์เก้น คล็อปป์ได้ชูถ้วยบนสเตจครั้งเดียว แต่ไม่ได้ชูคนเดียว ดันไปถือร่วมกันอดัม ลัลลานา ถือหูกันคนละข้าง ภาพก็ไม่สวยเท่าที่เราอยากได้ วันรุ่งขึ้น กอง บก.เราต่างไปค้นเว็บมืออาชีพที่ถ่ายรูปรับถ้วย ก็ไม่พบรูปที่คล็อปป์ชูถ้วยสวยๆเลย ในที่สุด เราก็ต้องเลือกรูป คล็อปป์ที่คล้องเหรียญแชมป์ ชูแขนสองข้าง ผลงานจากสำนักข่าว AFP มาเป็นปก แม้ว่าจะไม่มีถ้วยพรีเมียร์ลีกในมือคล็อปป์ก็ตาม แต่ก็สวยที่สุดเท่าที่จะหาได้ และไม่น่าเชื่อว่า เล่มแปลอังกฤษที่พิมพ์ออกมา ก็เลือกรูปเดียวกับเราเลย

ปก หนังสือ ชีวประวัติ เจอร์เก้น คล็อปป์

นอกจากตัวหนังสือที่เราพิถีพิถันแล้ว เราก็อยากทำให้เล่มนี้พิเศษกว่าปกติ จึงได้เลือกกระดาษปก เป็นกระดาษลายหนัง ที่มี texture พิเศษกว่าเล่มอื่นๆที่เราทำมา พร้อมมีใบพาดสีแดงปิดพาดระหว่างปกกับเนื้อใน และสำหรับคนที่สั่งพรีออเดอร์เล่มนี้ เราก็จัดพิมพ์โปสการ์ดรูปภาพสวยๆ พร้อม quote สำคัญๆจากคล็อปป์ ทั้งหมด 6 รูป โดยทุกรูปเราติดต่อขอลิขสิทธิ์มาอย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว จึงอยากชวนคนที่สนใจเรื่องราวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ The Normal One ผู้ที่ทำให้ฝันที่รอคอยมายาวนานถึง 30 ปีของแฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นความจริง ได้อ่านหนังสือเล่มนี้กัน

สำหรับเนื้อหาในหนังสือ เนื่องจาก Elmar Neveling ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นแฟนทีมดอร์ตมุนด์ เขาจึงชื่นชมคล็อปป์มาตั้งแต่สมัยคุมทีมเบเฟาเบ (ดอร์ตมุนด์) แล้ว และด้วยความเป็นคนเยอรมัน ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเชิงลึก ที่สามารถเล่าเรื่องของคล็อปป์ตั้งแต่วัยเด็ก ที่เมืองกลัตเทน, ชีวิตนักเตะที่ ไมนซ์, ครูที่สอนให้คล็อปป์กลายเป็นโค้ชฟุตบอลชั้นยอด และอีกมากมายที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้

ตอนผมเป็นวัยรุ่นที่เริ่มดูบอล จำได้ว่า ทีมเยอรมันใช้ระบบการเล่นแบบมีลิเบอร์โร่ ตั้งแต่ยุคของ ฟรานซ์ เบคเคนบาวร์, โลธาร์ มัทเธอุส, มัทเธอัส ซามเมอร์ แต่ในเล่มนี้ ผู้เขียนได้เล่าถึง เรื่องราวในยุค ‘90 ที่โวล์ฟกัง ฟรังค์ โค้ชและครูของคล็อปป์ได้เริ่มระบบการเล่นที่ไม่ใช่ลิเบอร์โร่แล้ว แต่เน้นการทำทีมที่ผู้เล่นทุกคนต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกัน จนเป็นที่มาของระบบ เกเก้นเพรสซิ่ง อันลือลั่นในปัจจุบัน

เล่มนี้ยังเล่าถึง ปรัชญาการทำทีมฟุตบอลของคล็อปป์ และพูดถึง โปรแกรมการฝึกแบบ ไลฟ์คิเนติก (Life Kinetics) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองด้วยการเพิ่มจุดเชื่อมเซลล์ประสาท ร่วมกับการฝึกฝนทางร่างกาย ทำให้นักเตะของคล็อปป์ สามารถเล่นฟุตบอลได้อย่างชาญฉลาดและมีปฏิกิริยาที่ฉับไว

ในแง่ของข้อคิดการบริหารธุรกิจ ผู้เขียนได้สัมภาษณ์ ดร. ฟรังค์ โดปไฮเดอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและแบรนด์ โดยนำ Limbic Map ที่ ดร.ฟรังค์ ใช้ในการระบุค่านิยมของแบรนด์ต่างๆ มาใช้ในการอธิบายว่า ค่านิยมและแบรนด์ดอร์ตมุนด์ นั้นตรงกับตัวตนของคล็อปป์อย่างไร ทำไมคล็อปป์ถึงไม่เหมาะกับทีมบาเยิร์นมิวนิก และทำไมคล็อปป์เหมาะสมอย่างมากที่มาคุมทีมลิเวอร์พูล เรื่องนี้ทำให้ผมได้ไอเดียเกี่ยวกับแบรนด์มากทีเดียว

สำหรับผู้สนใจหนังสือเล่มนี้ สามารถสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ที่ เว็บสำนักพิมพ์ลีฟริช https://www.liverich.co.th/product/jurgen-klopp/ หรือซื้อได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ ทั้ง ซีเอ็ด นายอินทร์ บีทูเอส คิโนะคุนิยะ

#JurgenKlopp #เจอร์เก้นคล็อปป์ #LFC #YNWA #LiveRichBooks

บก.ขอเล่า : Economix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง

สำหรับสำนักพิมพ์ลีฟรีชแล้ว เวลาเราเลือกหนังสือที่จะแปล เรามีหลักการอยู่ข้อหนึ่งว่า หาหนังสือที่อธิบายเรื่องที่เราควรที่จะรู้ (บางเรื่องถึงขั้นจำเป็นเลย) แต่คนทั่วไปคิดว่ามันยาก จนไม่อยากศึกษา มาอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย อย่างการลงทุนในหุ้น เราก็เลือกเล่ม นั่งตกปลากับบัฟเฟตต์ (Gone Fishing with Buffet) ที่อธิบายการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ด้วยเรื่องเล่าของชายหนุ่มผู้ผิดหวังจากตลาดหุ้น กับชายชราลึกลับ หรือเล่ม WINK มั่งคั่งมากกว่าที่ตาเห็น ก็เป็นเรื่องราวของริชาร์ด ที่ตั้งคำถามว่า ทำไมพ่อของเขาขยันทำงานมาทั้งชีวิตแต่ไม่รวยซักที ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้เปิดมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับความมั่งคั่ง

มาครั้งนี้ เราก็พบหนังสือเล่มนึงที่อธิบายเรื่องสำคัญมากในชีวิตเรื่องหนึ่งนั่นคือ เศรษฐกิจ ในรูปแบบการ์ตูน ที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น นั่นคือ หนังสือ Economix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง เขียนโดย ไมเคิล กูดวิน นักเขียนชาวสหรัฐอเมริกา วาดรูปโดย แดน อี. เบอร์ แปลโดย วิรัตน์ รัตนเวชสิทธิ หรือ พี่ฉั่ว รุ่นพี่วิศวฯ ผู้เป็นวิศวกรอยู่ต่างประเทศ แต่มีงานอดิเรกเป็นนักแปลฝีมือเยี่ยม ที่หนุ่มกับผมคิดถึงเสมอเมื่อเจอหนังสือที่แปลไม่ง่าย

ปกหนังสือ Economix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง

ไมเคิล ผู้เขียนเล่มนี้ เลือกที่จะบอกเล่าในรูปแบบหนังสือการ์ตูน เพราะเขาเชื่อว่า พวกเราคนธรรมดาทั่วไป สามารถเข้าใจเรื่องราวของเศรษฐกิจได้ จะได้ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องคนอื่น เช่น นักการเมือง ผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ จนทำให้เราในฐานะประชาชนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ เขาเขียนไว้ว่า

“เราเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย แทบทุกเรื่องที่เราลงคะแนนเสียงนั้น ล้วนแต่มี เศรษฐศาสตร์ เป็นส่วนสำคัญ จึงเป็นความรับผิดชอบของเรา ที่จะเข้าใจในสิ่งที่เราลงคะแนนไป”

สารบัญหนังสือ Economix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง

และเขาเลือกที่จะอธิบายเศรษฐกิจ ด้วยการเล่า ประวัติศาสตร์ โดยให้เหตุผลว่า เราไม่สามารถเข้าใจว่า เราอยู่ตรงไหน ถ้าไม่รู้ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เขาเริ่มต้นบทแรกจากอดีตอันไกลโพ้น เพื่อนำมาสู่ มือที่มองไม่เห็น ของอดัม สมิธ ผู้อธิบายว่า ทำไมความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์ จึงทำให้ราคาสินค้า/บริการ เข้าสู่ราคายุติธรรม จนกลายเป็นแนวคิดทุนนิยมเสรี ที่เป็นกระแสหลักของโลกปัจจุบัน แต่ไมเคิลยังย้ำว่า คนมัวแต่บูชา อดัม สมิธ จนไม่ได้ไปอ่านหนังสือของเขาจริงๆ ทำให้มองข้ามสิ่งที่ อดัม สมิธ เขียนไว้ว่า ตลาดนั้นไม่สมบูรณ์แบบ รัฐต้องเข้าไปแทรกแซงในเรื่องที่จำเป็น ที่สำคัญ อดัม สมิธ ได้ระบุไว้ด้วยว่า

“ไม่มีสังคมใดจะสามารถเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขได้ ถ้าสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม (คนงาน) ยังยากจนและแร้นแค้น”

บางหน้า จาก บท มือที่มองไม่เห็น (อดีตอันไกลโพ้น ถึง 1820)

ไมเคิล กูดวิน ได้เล่าเรื่องราวประวัติเศรษฐกิจได้อย่างสนุกสนาน และเข้าถึงแก่นสาระของเศรษฐกิจจริงๆ เราจะเห็นว่า ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่าดีต่างๆนานานั้น ได้เคยมีการนำมาใช้ปฏิบัติจริงและเห็นผลแล้ว เราจะได้เข้าใจว่า เวลามีคนมานำเสนอแนวคิดที่ว่าใหม่ ที่จะทำให้เรา ตาสว่าง นั้น จริงๆแล้ว เคยมีคนนำไปใช้แล้ว หากเราศึกษาดี ๆ ก็จะรู้ว่าผลลัพธ์ของจริงเป็นอย่างไร จะได้ไม่ถูกคนที่อ้างว่ารู้นั้น แหกตา

สำหรับหนังสือ Economix เศรษฐกิจ สะกิดสมอง ฉบับภาษาไทยนั้น ผมขอบอกด้วยความภูมิใจว่า เล่มไทยนั้น มีเนื้อหามากกว่าฉบับภาษาอังกฤษ นั่นเป็นเพราะว่า หนังสือเล่มนี้พิมพ์ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2012 และต่อมา ผู้เขียน ได้มีการเขียนการ์ตูนเพิ่มเติมเพื่ออธิบายเรื่องราวเศรษฐกิจหลังจากปี 2012 ลงในเว็บไซต์ของเขา ทางสำนักพิมพ์ลีฟริชเราเห็นว่า เนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์นั้นมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน จึงได้ขอทางผู้เขียนนำเอาเนื้อหาจากเว็บไซต์ (แต่ไม่ปรากฏในฉบับภาษาอังกฤษ) มาแปลและตีพิมพ์ในฉบับภาษาไทย เพิ่มเติมอีก 10 หน้า จึงขอบอกตรงนี้ ผู้ซื้อหนังสือฉบับภาษาไทย จะได้เนื้อหาที่เพิ่มเติมมากกว่าต้นฉบับอังกฤษถึง 10 หน้าเลยทีเดียว

ข้อที่อยากบอกผู้อ่านชาวไทยเรื่องหนึ่งก็คือ ไมเคิล กูดวิน เขาเป็นคนอเมริกัน หนังสือเล่มนี้จึงเขียนในมุมมองของชาวอเมริกัน ทำให้หลาย ๆ เรื่องจึงแตกต่างจากเศรษฐกิจที่เราเจอในประเทศไทย ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้คุณค่าของหนังสือเล่มนี้ด้อยลงไป แต่ผมเชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากมุมมองของคนประเทศอื่น เพียงแต่ผู้อ่านพึงระลึกเรื่องนี้ไว้ด้วยจึงจะได้รับประโยชน์สูงสุด

ผมตรวจทานหนังสือเล่มนี้อยู่หลายรอบมาก ตรวจทีไรก็มักพบจุดที่ควรแก้ไขแทบทุกครั้ง ทำให้มั่นใจพอสมควรว่า หนังสือเล่มนี้ได้ผ่านการทำงานที่พิถีพิถันอย่างยิ่ง แต่หากยังมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ใครสนใจหนังสือเล่มนี้ สามารถสั่งซื้อได้ที่ เว็บไซต์ สำนักพิมพ์ลีฟริช https://www.liverich.co.th/product/economix/ หรือซื้อได้ที่ร้านซีเอ็ด และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป

ขอปิดท้าย บก.ขอเล่า เล่มนี้ ด้วยคำนิยมต่อหนังสือเล่มนี้จาก โจเอล บากาน ผู้เขียนหนังสือ The Corporation ดังนี้

“กูดวินได้ทำเรื่องที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เขาได้ทำให้เศรษฐศาสตร์เข้าใจง่ายและสนุก”

บก.ขอเล่า : มาเรียนรู้การสับตะไคร้กับ Subscribed โมเดลธุรกิจพิชิตอนาคต

ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก จนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย กลับมีบริษัทหลายแห่งทำรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Spotify, Apple, Microsoft ซึ่งหากเราดูให้ดีแล้ว ธุรกิจเหล่านี้มีโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เหมือนกัน นั่นคือ โมเดลการบอกรับสมาชิก หรือ Subscription Model

Subscription Model นั้น มีรายได้จากสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ และเพิ่มขึ้นตามจำนวนสมาชิกที่สมัครเพิ่มเข้ามา ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าเริ่มชะลอการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ยอดซื้อสินค้าบริการลดลง แต่การบอกเลิกการเป็นสมาชิกต้องใช้ความพยายามมากกว่า ทำให้อัตราการบอกเลิกการเป็นสมาชิกไม่ได้สูงเหมือนกับยอดขายสินค้าบริการในโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิม

ความสำคัญของโมเดลธุรกิจแบบบอกรับสมาชิก (Subscription Model) นี้ ทำให้ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจสื่อและบันเทิงอย่าง ดิสนีย์ ต้องหันมาเปิดแพลตฟอร์ม Disney+ แข่งกับ Netflix และทำให้ในช่วงโควิดระบาด ต้องปิดสวนสนุกทั่วโลก ส่งผลให้ผลประกอบการขาดทุน แต่ยอดสมาชิก Disney+ กลับกระโดดขึ้นมาที่ 60 ล้านราย ทะลุเป้าที่เคยตั้งไว้ว่าจะถึง 60 ล้านรายภายใน 3 ปี ณ ตอนนี้เลย และทำให้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Mulan ที่เดิมมีแผนจะเข้าฉายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนไปเพราะโควิด พอตอนนี้ดิสนีย์เปลี่ยนใจมาเป็นไม่ฉายในโรงหนังในอเมริกาแล้ว แต่จะให้ชมใน Disney+ เลย

ปกหนังสือ Subscribe โมเดลธุรกิจพิชิตอนาคต

หนังสือ Subscribed โมเดลธุรกิจพิชิตอนาคต เขียนโดย Tien Tzuo (เทียน จั่ว) เป็นหนังสือที่เจาะลึกโมเดลธุรกิจ Subscription จากคนที่รู้จริง เพราะเทียนจั่ว เป็นผู้ก่อตั้ง Zuora ซอฟต์แวร์ธุรกิจสำหรับบริษัทที่ใช้โมเดลธุรกิจแบบบอกรับสมาชิก โดยมีลูกค้าคือบริษัทที่ใช้โมเดลธุรกิจแบบนี้มากกว่า 1,000 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น DAZN, Financial Times, HBO Nordics, Autodesk, Zendesk ฯลฯ คนที่ทำธุรกิจประเภทนี้จะรู้ดีว่า การจัดการระบบงานหลังบ้านเป็นเรื่องวุ่นวายขนาดไหน การที่ Zuora ของเทียนจั่วสามารถทำซอฟต์แวร์ช่วยเหลือบริษัทลูกค้าเหล่านี้ได้ แปลว่า เขาเข้าใจระบบบริหารจัดการโมเดลธุรกิจแบบบอกรับสมาชิกอย่างรู้จริง จึงรับประกันได้ว่า หนังสือ Subscribed โมเดลธุรกิจพิชิตอนาคต ที่เขาเขียนขึ้น จึงเป็นตัวจริง ของจริง สำหรับธุรกิจแบบนี้จริงๆ

ขอเล่าเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับชื่อผู้เขียน ในฐานะ บก. นิดนึง ชื่อผู้เขียนในภาษาอังกฤษคือ Tien Tzuo พอจะทับศัพท์มาเป็นชื่อไทย ก็จะต้องใส่วรรณยุกต์ให้ด้วย (ไม่เหมือนกับภาษาอังกฤษที่ไม่มีวรรณยุกต์ในรูปอักษร) เจ้าตัวเป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีนไต้หวัน ซึ่งทับศัพท์ภาษาจีนเป็นอังกฤษด้วยระบบเวดไจลส์ ต่างจากระบบพินอินที่นิยมใช้ในจีนแผ่นดินใหญ่ ผมเลยไปค้นว่าชื่อภาษาจีนจริงๆของเขาคืออะไร พบว่าชื่อจีนเขาคือ 左軒霆 จั่วซวานถิง แต่พอเป็นอเมริกัน ชื่อสามพยางค์คงยาวไป เขาเลยตัดเหลือ Tien Tzuo ก็ต้องไปค้นการทับศัพท์แบบไวดไจลส์เพิ่มเติม และตัดสินใจทับศัพท์ภาษาไทยว่า เทียน จั่ว

ปกหนังสือเล่มนี้ เป็นปกรูปแบบเดียวกับฉบับภาษาอังกฤษ เพราะทาง Tien Tzuo ได้แจ้งมาว่า อยากให้ปกหนังสือทุกภาษาของเขา เป็นปกแบบเดียวกัน และให้เราในฐานะสำนักพิมพ์ที่ได้ลิขสิทธิ์แปล จะต้องส่งแบบปกหนังสือกลับไปให้เขาอนุมัติก่อนที่จะจัดพิมพ์ เมื่อเราจัดส่งปกฉบับภาษาไทยให้เขาไป เขาก็ตอบมาว่า เขาชอบปกฉบับแปลไทย (ก็ต้องชอบสิครับ เพราะเหมือนปกภาษาอังกฤษเป๊ะๆ)

ตอนนี้สำนักพิมพ์ลีฟริช เปิดจำหน่ายหนังสือเล่มนี้แล้วนะครับ โดยมีโปรโมชั่นพิเศษลด 15% พร้อมส่งฟรี เมื่อสั่งซื้อภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 สั่งซื้อได้ที่ https://www.liverich.co.th/product/subscribed/

******************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
11 สิงหาคม 2020
******************************