วีรกรรมสะพานหลูติ้ง

ในช่วงแรกของการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหตุการณ์สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งก็คือ การถอยทัพหนีการล้อมปราบจากรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค ที่เรียกกันว่า การเดินทางไกล (Long March) พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องเดินทางไกลถึง 25,000 ลี้ หรือ 12,500 กิโลเมตร ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ปี ระหว่างตุลาคม 1934 ถึง ตุลาคม 1935 ครั้งนั้นกองทัพจีนแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีกำลังพลน้อยกว่ารัฐบาลก๊กมินตั๋งอย่างมาก จำเป็นต้องหนีจากฐานที่มั่นเดิม ผ่าน 11 มณฑล และพื้นที่ทุรกันดารมากมาย ว่ากันว่า ทหารจีนแดงตอนเริ่มต้นเดินทางไกลจำนวน 100,000 คนเมื่อจบภารกิจเดินทางไกลกลับเหลือเพียง 8,000 คนเท่านั้น  แต่ภายใต้ความสูญเสียมากมายขนาดนั้น เหมาเจ๋อตุงกลับประกาศชัยชนะโดยบอกว่า ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์โลก ที่มีการเดินทัพทางไกลขนาดนี้ ได้พิสูจน์ความเป็นวีรชนคนกล้าของกองทัพแดง พรรคก๊กมินตั๋งทุ่มทรัพยากรล้อมปราบกองทัพแดงมากมายขนาดนั้น แต่ยังไม่สามารถพิชิตกองทัพแดงได้ ที่สำคัญที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์ได้โฆษณาป่าวประกาศนโยบายปลดแอกมวลชนต่อประชาชน 200 ล้านคนใน 11 มณฑล ด้วยการเดินทางไปทั่วแผ่นดินจีน

มีวีรกรรมมากมายเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไกล แต่วีรกรรมที่ผมประทับใจที่สุด นั่นคือ วีรกรรมยึดสะพานหลู่ติ้ง เพื่อข้ามแม่น้ำต้าตู้เหอ ในเดือนพฤษภาคม 1935 ตอนนั้นกองทัพแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ถอยทัพมาถึงแม่น้ำต้าตู้เหอ และต้องรีบข้ามแม่น้ำใหญ่สายนี้ไปให้ได้ มิฉะนั้น กองทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คต้องทำลายกองทัพแดงอย่างสิ้นเชิง แม่น้ำสายนี้เป็นสายน้ำเชี่ยวกราก สองฟากฝั่งเป็นหน้าผา มีวังวนแก่งหินที่เป็นอันตรายเต็มไปหมด แต่ที่นั่นมีสะพานข้ามแม่น้ำแห่งเดียวคือ สะพานหลูติ้ง ยาวประมาณ 110 เมตร สร้างด้วยโซ่เหล็กขนาดใหญ่ 13 เส้น ปูไม้กระดานสำหรับเดิน สร้างขึ้นเมื่อปี 1701 แต่เมื่อกองทัพแดงไปถึง กองทัพที่อยู่ฝ่ายเจียงไคเช็คได้ถอดไม้กระดานปูพื้นเก็บไปเสียแล้ว เหลือเพียงโซ่เหล็กเท่านั้น

ภารกิจของกองทัพแดงตอนนั้นคือ ต้องข้ามสะพานหลูติ้ง และยึดฐานที่มั่นฝั่งตรงข้ามให้ได้ ก่อนที่กองทัพใหญ่ของเจียงไคเช็คจะมาถึง นี่คือภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอีกฝั่งของโซ่เหล็ก กองทัพท้องถิ่นที่อยู่ฝ่ายเจียงไคเช็คได้วางกำลังพร้อมยิงใส่ทหารกองทัพแดงที่พยายามข้ามมา กองทัพแดงประกาศรับสมัครหน่วยกล้าตายจำนวน 22 คน รับภารกิจไต่โซ่เหล็กข้ามแม่น้ำ ฝ่าดงกระสุนไปยึดฐานที่มั่นอีกฝั่งแม่น้ำให้ได้ เพื่อให้ทหารอีกหนึ่งกองร้อยรีบเอาไม้กระดานปูสะพานข้ามไป นี่คือภารกิจที่มีโอกาสตายมากกว่ารอด มีแต่คนที่บ้าบิ่นเท่านั้นที่จะยอมรับภารกิจเช่นนี้

แต่สำหรับกองทัพแดงขณะนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องยากที่จะหาหน่วยกล้าตาย 22 คนเพื่อปฏิบัติภารกิจนั้น ทั้ง 22 คนถือปืนประจำตัว พกลูกระเบิดมือคนละ 12 ลูก สะพายดาบทหารม้า มุ่งหน้าไต่โซ่เหล็กไปข้างหน้า ท่ามกลางห่ากระสุนที่ยิงต่อสู้กัน หน่วยกล้าตาย 4 คนร่วงลงจากสะพานตกลงไปในแม่น้ำเชี่ยวกรากลอยลับหายไป ส่วนข้าศึกอีกฝั่งเริ่มจุดไฟเผาสะพานไม่ให้ข้ามมาได้ หน่วยกล้าตายที่เหลือฝ่าไฟเข้าไปจนยึดสะพานอีกฝั่งไว้ได้ ทำให้กองกำลังที่เหลือปูสะพานและยกทัพนับหมื่นข้ามสะพานมาได้

ชัยชนะเหนือสะพานหลูติ้งของกองทัพแดง ได้รับการโจษจันไปทั่วแผ่นดินจีน ภาพวาดหน่วยกล้าตายทั้ง 22 คนที่กำลังข้ามสะพานได้รับการเผยแพร่ไปทั่วประเทศ (ภาพวาดประกอบบทความนี้ ผมถ่ายรูปจากพิพิธภัณฑ์เชิดชูนายพล หยางเฉิงอู่ ผู้เป็นหัวหน้าปฏิบัติการข้ามสะพานหลูติ้ง ที่เมืองฉางทิง มณฑลฝูเจี้ยน เมื่อเดือนมีนาคม 2016 นี้) การพิชิตภารกิจเสี่ยงตายเช่นนี้ทำให้ทหารกองทัพแดงแทบจะกลายเป็นกองทัพที่ทุกคนเชื่อกันว่า ไม่มีใครจะพิชิตเขาได้อีกแล้ว ขวัญกำลังใจของทหารพุ่งสูงถึงขีดสุด แม้ว่าอยู่ระหว่างถอยทัพหนีการล้อมปราบ แต่ขวัญกำลังใจทหารไม่ได้ลดน้อยถอยลง มีแต่เพิ่มพูนขึ้น เหมาเจ๋อตุงไม่พลาดที่จะโฆษณาป่าวประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้ ถือเป็นจุดพลิกผันของพรรคคอมมิวนิสต์ จากเดิมมีแต่ล่าถอยเสียเปรียบก๊กมินตั๋ง แต่คราวนี้ทุกคนในกองทัพเชื่อว่า พวกเขาไม่มีวันแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว มีแต่ดีขึ้นและขยายตัวขึ้น

เรื่องนี้คือตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์ที่ 36 นั่นคือ หนีคือสุดยอดกลยุทธ์ ที่สอนเราว่า การถอยหนีไม่ใช่ความพ่ายแพ้ ในการล่าถอยกลับเต็มไปด้วยพลังที่จะฟื้นตัวเอาชนะกลับมาได้ นั่นเอง

*******************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
CelestialStrategist.com
26 สิงหาคม 2559
*******************************