Proactive อุปนิสัยสำคัญสู่ชัยชนะ กับ No Excuse Culture ของ เจอร์เกน คล็อปป์

เมื่อ 29 ธันวาคม 2019 ที่ผ่านมา ผมได้ทำตามความฝันข้อหนึ่งในชีวิต คือ การไปดูบอลที่สนามแอนฟิลด์ เมืองลิเวอร์พูล วันนั้นเป็นการแข่งขันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ วูล์ฟ แฮมป์ตันฯ ซึ่งเป็นการแข่งขันแมตช์ที่ 9 ของทีมลิเวอร์พูลในเดือนธันวาคมเดือนเดียว นับเป็นโปรแกรมการแข่งขันสุดโหด เพราะต้องลงเตะทุกสามวันติดต่อกันแรมเดือน

ทุกแมตช์ที่มีการเตะในบ้าน ทางสโมสรจะมีการจัดทำ Program Book ให้กับแฟนบอลที่มาชมได้ซื้ออ่านกัน ในวันที่ผมไปชมนั้น หน้าปกเป็น นาบี เกอิต้า ที่เล่นได้โดดเด่นในช่วงเดือนธันวาคม แต่เนื้อหาในเล่ม ที่ผมประทับใจมาก คือ คอลัมน์ From the Boss โดย เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล โดยเขาได้เขียนตอนหนึ่งว่า

“มีคนมากมายพร้อมที่จะวิจารณ์จากข้างนอกถึงผลกระทบของการเดินทางไปโดฮา (ไปแข่งชิงแชมป์สโมสรโลก ที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์กลับมา) ที่มีต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ผมสามารถตอบได้ตรงนี้เลย โดยไม่ต้องดูผลลัพธ์ ว่า ไม่มีผลเลย! เพราะว่าพวกเราไม่อนุญาตให้มันมามีผลกับเรา นักฟุตบอลของเรากลุ่มนี้รู้ว่าพวกเขาต้องกำหนดวาระ และมาตรฐานของพวกเขาเอง

พวกเขารู้ว่า พวกเขามีความสามารถที่จะตัดสินเองว่า จะเข้าไปสู่เกมการแข่งขันด้วยความเหนื่อยล้า หรือเราเลือกที่จะสดชื่นทั้งกายและใจ มันคือทางเลือกที่เราสามารถเลือกได้เอง เรามีพลังที่จะตัดสินใจเลือกวิธีการของเราเอง…

การพูดถึงหัวข้อพวกนี้ ย่อมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการใช้มันเป็นข้ออ้าง และนักบอลของเราเหล่านี้มี วัฒนธรรมไร้ข้ออ้าง (No Excuse Culture) ไหลเวียนอยู่ในตัวพวกเขา

เราจะพลาด เราจะแพ้บางเกมส์ แน่นอน เราจะเจออย่างนั้น นี่ไม่ใช่เป็นเพราะความล้มเหลวของเรา แต่เพราะคุณภาพของคู่แข่งที่สูงมาก แต่เราจะไม่ใช้ปัจจัยภายนอกมาอธิบาย ไม่ว่ามันจะดูสมเหตุสมผลขนาดไหน

แนวทางของเราคือมันเป็นเรื่องของโอกาสเสมอ การคว้าแชมป์สโมสรโลกฟีฟ่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรคือโอกาส และเราคว้ามันได้ การกลับมาสู่การแข่งขันต่อเข้มเข้นอย่างยิ่งในพรีเมียร์ลีกภายใต้ ตารางการแข่งขันที่แน่น คือโอกาสสำหรับเราที่จะแสดงผลงานถ้าเราเลือกที่จะเผชิญอย่างนั้น และเราจะทำเช่นนั้น

นั่นคือสิ่งที่ผมเห็นจากนักเตะของเราตั้งแต่เรากลับมารวมทีมเมื่อกรกฎาคมและสิงหาคมที่ผ่านมา เรากำหนดวาระของเราเอง เราตัดสินใจว่ามันเป็นไปได้ มันคือของขวัญของเราที่จะมอง “ความกดดัน” ที่เราสมควรจะเจอ ในแง่บวก ไม่ใช่แง่ลบ”

อ่านบทความตอนนี้ของคล็อปป์แล้ว ผมคิดถึงเรื่อง 7 อุปนิสัยของผู้มีประสิทธิภาพสูง ของสตีเฟน โควีย์ อันโด่งดัง ทันที โควีย์ได้ศึกษาปัจจัยสู่ความสำเร็จของคน ตลอด 200 ปีที่ผ่านมา และได้สรุปออกมาเป็น อุปนิสัย 7 ข้อ โดยข้อแรกก็คือ Proactive ซึ่งก็คือ ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำก่อน ไม่ใช่รอตั้งรับ

โควีย์อธิบายว่า เมื่อมีสถานการณ์ใดๆเกิดขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จจะมีอิสระที่จะเลือกวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาบอกมาทำให้เรา หรือปล่อยเป็นฝ่ายถูกกระทำ (Reactive) เช่น ในสถานการณ์ของลิเวอร์พูลที่ต้องเจอการแข่งขัน 9 นัดภายในเดือนเดียว หากปล่อยเป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็คือ การไปโทษว่า สมาคมฟุตบอลอังกฤษผู้จัดพรีเมียร์ลีก กับ ฟีฟ่าผู้จัดการแข่งชิงแชมป์สโมสรโลก ไม่ยอมคุยกันหรือจัดตารางแข่งขันให้ดี จนทำให้เกิดการแข่งที่แน่นเกินไป หรืออาจรู้สึกเหนื่อยกับการที่ต้องเจอตารางแข่งขันเช่นนี้ แต่การเป็นคนโปรแอกทีฟ ก็จะมองแบบที่คล็อปป์มอง นั่นคือ นี่คือโอกาสที่จะคว้าแชมป์สโมสรโลกเป็นครั้งแรกของสโมสร และเป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ตนเองว่า พร้อมที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้เป็นครั้งแรกของสโมสร

การเป็นคนโปรแอกทีฟแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผลลัพธ์จะต้องชนะหรือสำเร็จเสมอไป แต่การที่ไม่ไปโทษสิ่งภายนอก จะทำให้เรามามุ่งมั่นกับสิ่งที่เราสามารถกระทำได้ ทำให้การเข้าสู่การแข่งขันจะเข้าด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ไม่ใช่การที่พร้อมจะไปโทษนั่นโทษนี่หรือหาข้ออ้างหากไม่สำเร็จ ผมว่า วิธีคิดของคล็อปป์ที่ปลูกฝังให้เกิดขึ้นในทีมลิเวอร์พูลว่า ทุกสถานการณ์คือโอกาส และวัฒนธรรมไร้ข้ออ้าง คือตัวอย่างของการสร้างความสำเร็จขึ้นสำหรับคนทุกคน

**********************************
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
13 มกราคม 2020
**********************************